BOY MEETS WORLD

ความโด่งดังจนฉุดไม่อยู่ของเจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนแบบของจริง เขาปลีกคิวงานอันแน่นเอี้ยดมาพูดถึงภาพยนตร์เรื่องล่าสุดและการผจญภัยในโลกใบใหม่ของหนุ่มชาวพิจิตรที่ทุกคนรู้จัก

 

 
ชายหนุ่มคนนี้มีผู้ติดตามในอินสตาแกรม 967,000 ราย และมีแฟนในเพจเฟซบุ๊กถึงสามเพจ (ที่ต่างอ้างว่าเป็น Official Fan Page) รวมกันได้ 1,112,000 ยูสเซอร์ นั่นหมายถึงเขามีแฟนคลับเฉพาะในโซเชียลเน็ตเวิร์กทั้งหมดมากกว่า2 ล้านคนเป็นอย่างน้อย

 

 
ตัวเลขนี้อาจดูไม่หวือหวานักถ้าเขาไม่ใช่ ดาราหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการได้ไม่ถึงปีและมีผลงานเพียงเรื่องเดียวในตอนนั้น นี่ยังไม่ได้พูดถึงการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้านับไม่ถ้วนและปรากฏการณ์ขึ้นปกนิตยสารเกือบ 30 ฉบับพร้อมกันบนแผงภายในเดือนเดียว!

 

 
ชีวิตของเจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ นับตั้งแต่วันที่ละครชุด สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อเดือนมีนาคมปีก่อน โดยบทคุณชายพุฒิภัทรหรือชายภัทรที่เขาได้รับในเรื่อง ถือเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่จุดชนวนให้นักแสดงหน้าใหม่คนนี้ดังเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืนด้วยวัยเพียง 19 ปี กับผลงานเรื่องแรก “ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลยนะ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงขนาดนี้ด้วยซ้ำ ผมเองก็ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกัน” เจมส์เริ่มต้นบทสนทนาด้วยประเด็นความดังที่จู่โจมเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็ยอมรับว่าการสวมบทชายภัทรทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในเรื่องของงานที่วิ่งเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แต่สำหรับการรับมือกับบรรดาแฟนคลับจำนวนมหาศาล เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ผมไม่ตกใจหรืออะไรเลยนะเวลาเจอแฟนคลับเยอะๆ ผมกลับรู้สึกสนุกและดีใจด้วยซ้ำที่มีพวกเขามาคอยให้กำลังใจอยู่ตลอด ผมคิดว่าถ้าเรามัวแต่กลัวและประหม่า เราอาจจะทำสิ่งที่แฟนๆ คาดหวังออกมาได้ไม่ดี ที่สุดแล้วเราอาจทำให้พวกเขาผิดหวังก็ได้”

 

 
ช่วงปลายปีก่อน เจมส์รับบทนำในละคร รักสุดฤทธิ์ พร้อมกับบทเล็กๆ ในละคร ทองเนื้อเก้า ในเวลาไล่เลี่ยกัน “ผมได้คุยกับพี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ไว้ตั้งแต่ตอนที่พี่เขามากำกับละคร คุณชายรัชชานนท์ แล้วครับ” เจมส์พูดถึงการรับบทวันเฉลิมตอนโตที่ต้องบวชเป็นพระ “บทวันเฉลิมตอนบวชพระถือเป็นบทที่ท้าทาย เพราะเราต้องทำตัวให้เหมือนพระจริงๆ ไม่หลุกหลิก มีสมาธิตลอดเวลาพอเริ่มถ่ายทำปุ๊ปผมจะทำตัวค่อนข้างนิ่งเพราะรู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในผ้าเหลือง โชคดีที่ผมเคยบวชมาแล้วเลยคุ้นเคยอยู่บ้าง” เจมส์กล่าว

 

 
หากไม่นับภาพยนตร์เรื่อง First Love รักครั้งแรก ซึ่งถ่ายทำไว้ตั้งแต่เจมส์ยังไม่เป็นที่รู้จักและเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดพิษณุโลก เดือนกุมภาพันธ์นี้เจมส์จะมีภาพยนตร์ฟอร์มดีเรื่องใหม่ที่หลายคนจับตามอง “เรื่องราวในหนังพูดถึงคนในยุคปัจจุบันที่ชีวิตต้องพบสิ่งต่างๆ มากมาย และผ่านเรื่องราวมานับไม่ถ้วน ซึ่งบางเรื่องเราก็ไม่ต้องการจะจดจำ แต่มันกลับตราตรึงอยู่ในหัวใจ” เจมส์พูดถึงภาพยนตร์เรื่อง Timeline จดหมาย ความทรงจำ ที่เขารับบทเป็นแทน หนุ่มชาวสะเมิงวัย 19 ปีที่ต้องทิ้งชีวิตเรียบง่ายกลางขุนเขาและไร่สตรอว์เบอร์รีเพื่อเดินทางมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ “แทนเป็นผู้ชายที่กำลังค้นหาว่าจริงๆ แล้วชีวิตเขาต้องการอะไร หรือมีสิ่งใดที่เขายังขาดอยู่และต้องการเติมเต็ม” เจมส์อธิบายถึงบทของเขา “จริงๆ ก็เป็นบทที่ใกล้ตัวผมเหมือนกัน เพราะเขาเป็นเด็กต่างจังหวัดที่อยากรู้ว่าชีวิตข้างนอกเป็นอย่างไร แล้วพอได้เข้ามาในกรุงเทพฯ มันเหมือนเป็นอีกโลกที่เขาไม่เคยพบ และก็ได้มาเจอผู้หญิงชื่อจูน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขาได้เรียนรู้และค้นพบว่าชีวิตต้องการอะไร”

 

 

บทจูน นางเอกของเรื่องแสดงโดย เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ สาวขึ้นปก NYLON ของเราในฉบับนี้ที่พระเอกร่วมจอเอ่ยปากชมเปาะว่า “พี่เต้ยเป็นคนน่ารักครับ ผมรู้สึกได้เลยว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราสนิทกันได้เร็วในระยะเวลาสั้นๆ” หนังเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำเพียงหนึ่งเดือนในหลายสถานที่ ทั้งอำเภอสะเมิง เกาะสีชัง และย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ “พี่เต้ยเป็นเหมือนอาจารย์ของผม ในหลายๆ ฉากที่เขาแสดงออกมามันมีพลัง ผมเห็นเลยว่าเขาทุ่มเทมากในการแสดงหนังเรื่องนี้ มีอยู่ฉากหนึ่งที่พี่เต้ยต้องร้องไห้เสียใจ ก่อนเข้าฉากเขาบอกผมว่าขอกอดหน่อยนะ แล้วเราก็กอดกัน จากนั้นพอผู้กำกับสั่งแอ็กชั่น เขาได้สัมผัสความรู้สึกจากตัวละครของเราไปแล้วและหลังจากนั้นก็เริ่มแสดงซีนนั้นได้อย่างสมบทบาทเลยครับ” เจมส์กล่าวด้วยสีหน้าที่ชื่นชม

 

 

อีกหนึ่งโบนัสก้อนใหญ่จากภาพยนตร์เรื่องนี้คือการได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดัง นนทรีย์ นิมิบุตร ที่ภาพยนตร์เรื่อง Timeline จดหมาย ความทรงจำถือเป็นงานกำกับเรื่องแรกของเขาในรอบ 14 ปี “นับเป็นเกียรติมากครับที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับระดับแนวหน้าของเมืองไทย พี่อุ๋ยเป็นคนมีฝีมืออยู่แล้ว พอได้ทำงานด้วยกัน ผมรู้สึกเลยว่านี่แหละคือคนที่เก่งจริงๆ” เจมส์ยังเล่าถึงตอนถ่ายทำให้ฟังว่า “พี่อุ๋ยจะไม่ยึดติดว่าบทหนังของเขาดีที่สุด เขาแค่บอกว่าให้ใช้บทหนังเป็นแกนกลาง แล้วเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเอง จากนั้นพี่อุ๋ยจะบอกว่าอันนี้ดีอย่างไร อันนี้ไม่ดีอย่างไร” เจมส์พูดสรุปถึงหนังเรื่องนี้ว่า “Timeline น่าจะมอบความสุขและทำให้ใครหลายคนมองเห็นคุณค่าของอดีต โดยเฉพาะในสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์กที่รวดเร็วและค่อนข้างฉาบฉวย ผมว่าบางทีชีวิตก็ควรมีสิ่งที่เรียบง่ายด้วยเหมือนกัน”

 

 

หลายคนคงได้ยินข่าวการโกอินเตอร์ของเจมส์ในการเดินทางไปเก็บตัวเป็นศิลปินของค่าย Cube Entertainment ที่ประเทศเกาหลีใต้ เจมส์พูดถึงเรื่องนี้ว่า “หลักๆ คือไปเรียนร้องเพลงและเต้น แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่แบบสุขสบายนะครับ เพราะในที่พักเดียวกันต้องอยู่ร่วมกันถึง 6 คน เป็นผู้ชายล้วน ห้องพักผมก็เป็นห้องเล็กๆ และค่อนข้างสื่อสารกันลำบากเพราะผมไปอยู่ไม่นานจึงยังพูดภาษาเกาหลีไม่ได้ ส่วนมากก็ต้องสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษ” เจมส์เล่า “ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม แน่นอนว่าต้องเหนื่อยครับแต่ผมต้องสู้เพราะเป็นอีกก้าวหนึ่งของการพัฒนาตัวเองและการเรียนรู้” เจมส์ตอบแบบยิ้มๆ และต่อด้วยการเผยว่าในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้จะมีซิงเกิลเพลงของเขาออกมาให้ฟังกันด้วย แต่ในระหว่างนั้นเจมส์ก็เพิ่งฝากน้ำเสียงร่วมกับเต้ยไว้ในเพลงประกอบหนังเรื่อง Timeline ที่นำเพลง “ไกลแค่ไหนคือใกล้” ของวงเก็ตสึโนว่า มาร้องใหม่

 

 
ก่อนเวลาสัมภาษณ์หนุ่มฮอตคนนี้จะสิ้นสุด และเราต้องส่งตัวเขาให้กับนิตยสารอีกหลายหัวที่รอต่อคิวสัมภาษณ์และถ่ายภาพ เรายิงคำถามสุดท้ายเพื่อให้เข้ากับเดือนกุมภาพันธ์ว่า ‘ความรักคืออะไร’ หนุ่มเจมส์ครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็ตอบว่า “ความรักคือการให้ เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความรักคือการให้อภัย ผมมองว่าเวลาที่คนเรามีความรักหรือมีสิ่งที่เขารักแล้วอีกฝ่ายเกิดทำผิดพลาดขึ้น อีกคนก็พร้อมที่จะหยิบยื่นมือเข้าไปช่วยเสมอ นั่นคือความรักสำหรับผมครับ”

 

 
เรื่อง: ณัฐวฒิ แสงชูวงษ์

สัมภาษณ์: อนัคฆ์วี เอี่ยมอ่อง

ภาพ: ไชยวัฒน์ ไชยโชติ

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply