DEEP BLUE

เธอคือสาวป๊อปคนดัง ดาราจอแก้ว และกูรูในการสานฝัน แต่สิ่งที่น่าทึ่งของเดมี โลวาโต คือความทะเยอทะยานที่พลุ่งพล่านอยู่ในตัวเธอ

 

ในย่านที่งดงามราวกับภาพวาด เดมี โลโวโต กำลังถ่ายมิวสิกวิดีโอเพลงใหม่ “Neon Lights” อยู่ที่มุมหนึ่งของถนน แม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะเต็มไปด้วยรถราและป้ายจราจร แต่เมื่อเดินผ่านเข้าไปยังสถานที่ถ่ายทำ สิ่งที่รกตาทั้งหลายก็หายไปโดยพลันผู้ช่วยและตากล้องกำลังง่วนอยู่กับแผงควบคุมไฟ ส่วนสไตลิสต์กำลังตระเตรียมเสื้อผ้า โลวาโตยืนอยู่บนเวทีที่ทำจากกระจกและพร้อมถ่ายทำเมื่อเสียงเพลงดังขึ้น เธอก็เริ่มกระโดดขึ้นลงและโยกไปตามจังหวะเพลง ผมสีฟ้านีออน เรียวปากสีชมพูสด และเล็บสีเขียวสะท้อนแสงของเธอโดดเด่นเป็นประกายภายใต้แบล็คไลท์ ผู้กำกับที่กำลังนั่งดูมอนิเตอร์ก็ตะโกนออกมาว่า “อย่างนั้นล่ะ เดมี!”

 
ครอบครัวและเพื่อนฝูงของเธอต่างมาให้กำลังใจในการถ่ายทำ ถึงจะมีเก้าอี้ว่างอยู่หลายตัว แต่เดียนนา เด ลา การ์ซาแม่ของเธอที่เคยเป็นอดีตเชียร์ลีดเดอร์ของทีมดัลลัสคาวบอยส์ปฏิเสธที่จะนั่งและยอมยกเก้าอี้ให้ทีมงานที่ทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย ครอบครัวของเธอที่มาดูการถ่ายทำประกอบด้วย เอ็ดดี เด ลา การ์ซาพ่อเลี้ยงที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวตั้งแต่เธอยังเด็กดัลลาสโลวาโตพี่สาวของเธอที่สวมวิกผมสีรุ้งและเมดิสัน เด ลา การ์ซาน้องสาววัย 11 ขวบที่ว่างจากการถ่ายทำซีรีส์เรื่อง Bad Teacher ของช่อง CBS

 
โลวาโตเดินลงจากเวทีและเปลี่ยนรองเท้าส้นสูง 4 นิ้วเป็นรองเท้าแตะก่อนจะเดินออกมาหาฉันพร้อมกับนักประชาสัมพันธ์ “คุณจะทำให้ฉันออกมาดูเจ๋งสุดๆ ใช่ไหม” เธอแหย่เล่นและประโยคนี้เกิดไปเข้าหูเพื่อนของเธอ “คงจะยากทีเดียวล่ะ” เขาตอบและโผเข้ากอดเธอ

 
ดูจากสถานการณ์แล้วนี่คงไม่ใช่เวลาอันสมควรที่จะนั่งสัมภาษณ์ โลวาโตเลยเชิญฉันไปที่อพาร์ตเมนต์ของเธอในไม่อีกไม่กี่วันถัดมา ในห้องของเธอเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์นที่บ่งบอกความเป็นเธอได้ดี ไม่ว่าจะเป็นถุงใส่ของในห้องครัว ผ้าห่มที่พาดอยู่บนเก้าอี้ และกำแพงสีชมพู ขณะเดียวกันก็มีบางอย่างที่ดูไม่ใช่ตัวเธอ อย่างเช่นภาพวาดสีน้ำมันตอนที่เธอไปออกรายการ The Ellen DeGeneres Show และกระดานโต้คลื่นจากเวที Teen Choice Awards ที่วางอยู่ในห้องครัว

 
“อย่าเพิ่งตัดสินฉันจากของพวกนั้นนะ!” เธอตะโกนขึ้นมาจากห้องโถงด้านล่างและปรากฏตัวออกมาพร้อมมาส์กสีฟ้าบนใบหน้า เธอจะต้องบินไปนิวยอร์กแต่เช้าตรู่ เลยใช้เวลาที่เหลือปรนนิบัติตัวเองให้มากที่สุด ฉันเพิ่งสวนทางกับพนักงานนวดหญิงระหว่างที่เดินเข้ามา

 
การต้องทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตของเธอ เมื่อเดือนมีนาคมปีก่อน “Heart Attack” ซิงเกิลแรกจากสตูดิโออัลบั้มที่ 4 ของเธอ Demi เปิดตัวที่อันดับ 12 บนชาร์ต Billboard Hot 100 และทำยอดขายได้เกิน 2 ล้านแผ่นทั้งในอเมริกาและแคนาดา เธอเป็นที่รู้จักจากช่องดิสนีย์และทัวร์คอนเสิร์ตกับวงโจนัสบราเธอร์ส ก่อนที่งานจะต้องสะดุดเพราะการเข้าบำบัดยาเสพติดแต่เธอก็กลับมาโด่งดังอีกครั้งในฐานะกรรมการตัดสินรายการ The X Factor คู่กับไซมอน คาวล์ และเป็นนักแสดงรับเชิญใน Gleeหลังจากนั้นเธอก็ออกแคปซูลคอลเลกชั่นเกี่ยวกับการแต่งเล็บมือให้กับ The New Black ต่อด้วยหนังสือชื่อ Staying Strong: 365 Days a Year และในเดือนกุมภาพันธ์นี้เธอจะเริ่มตระเวนทัวร์ แน่นอนว่าถ้าคุณมีแฟนในโซเชียลมีเดียเกิน 50 ล้านคน (20 ล้านคนบน ทวิตเตอร์, 25 ล้านคนบน เพซบุ๊ก, 4 ล้านคนบน วีโว, 3 ล้านคนบน อินสตาแกรม, 500,000 คนบน คีก) คุณคงจะทำตัวเหยาะแหยะไม่ได้

 
เธอทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมกำมะหยี่สีม่วงหรูและนักวาดภาพก็เริ่มวาดภาพเธอด้วยสีฟ้าและเขียว “ฉันรักทุกอย่างที่ทำ ไม่งั้นฉันคงไม่ทำมัน” เธอพูดถึงสารพัดโปรเจ็กต์ของเธอ “ฉันมองชีวิตตัวเองและคิดว่า ‘ฉันมีเวลาไม่พอ’ ฉันช่วยกำกับมิวสิกวิดีโอ 2 ตัวล่าสุดของฉัน ฉันฝันมานานแล้วว่าสักวันจะได้ทำงานเบื้องหลังและกำกับหนังของตัวเอง ฉันอยากเป็นพิธีกรรายการทอล์คโชว์ของตัวเอง ประมาณว่าเป็นโอปราห์รุ่นเล็ก ฉันอยากเขียนเพลงให้กับนักร้องคนอื่นๆ ฉันอยากเป็นนักประพันธ์ ฉันอยากมีแบรนด์เครื่องสำอางและสกินแคร์เป็นของตัวเอง ฉันอยากเข้าร่วมงานการกุศลมากกว่านี้ และก็เคยมีครั้งหนึ่งที่ฉันอยากเรียนกฎหมาย” เรียนกฎหมายเนี่ยนะ เธอหัวเราะและตอบว่า “ใช่ ฉันชอบดูหนังอาชญากรรม ฉันชอบติดตามว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับโลกใบนี้บ้าง” เธออธิบาย “ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักด้านนี้ของฉัน พวกเขามักจะประหลาดใจเมื่อได้ยินฉันพูดทำนองนี้”

 
หนังสือ Staying Strong คือเหตุผลที่ทำให้เธอต้องไปนิวยอร์กในวันรุ่งขึ้น เธอจะไปออกรายการทอล์คโชว์เพื่อโปรโมทหนังสือที่รวบรวมคำพูดต่างๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจในชีวิตและการทำสมาธิในแต่ละวันของเธอ “ฉันมีคำพูดมากมายในใจที่อยากเขียนลงหนังสือ ฉันเคยถูกทาบทามให้เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง แต่ฉันยังไม่พร้อม อาจเป็นเพราะฉันยังเด็กและไม่มีประสบการณ์ชีวิตมากพอ แต่แฟนๆ ของฉันชอบถามว่า ‘เวลาเจอปัญหา คุณจัดการกับมันยังไง’ ส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาของฉันคือการเริ่มต้นวันนั้นๆ ให้ดี ฉันเลยชอบอ่านคำพูดและข้อคิดต่างๆ เพื่อจะได้มีจุดมุ่งหมายในแต่ละวัน”

 
มาถึงตอนนี้ โลวาโตเป็นที่รู้จักจากการต่อสู้กับโรคกินอาหารผิดปกติ โรคซึมเศร้า การทำร้ายตัวเอง และการบำบัดยาเสพติด พอๆ กับผลงานของเธอ เธอเริ่มต้นอาชีพด้วยการรับบทใน Barney and Friends คู่กับเซเรนา โกเมซ และออกอัลบั้มชุดแรก Don’t Forget ในปี 2008 และหลังจากที่เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับแดนเซอร์บนเครื่องบินที่กลับจากเปรูในปี 2010 โลวาโตก็ถูกส่งเข้ารับการบำบัด

 
“พ่อแม่พยายามจะควบคุมฉัน แต่ฉันชอบเถียงว่า ‘หนูถูกกักบริเวณเหรอ ขอจ่ายเงินประกันตัวแทนได้ไหม’” เธอเล่า“พวกเขาทำดีที่สุดแล้ว และฉันคิดว่านั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมดาราเด็กหลายคนถึงต้องดิ้นรนเพื่อที่จะหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวคติประจำตัวของฉันคือ ‘ทำงานให้หนัก และสนุกให้สุดเหวี่ยง’ ฉันไม่ชอบฟังคำว่า ‘ไม่’ ฉันชอบสร้างกฎเกณฑ์ให้กับตัวเอง ฉันคิดว่าถ้าฉันโตเป็นผู้ใหญ่พอ ฉันก็คงปาร์ตี้แบบผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน” เธอพูด “แต่ก็เห็นชัดเจนว่าฉันทำไม่ได้”

 
ขณะที่อยู่สถานบำบัด โลวาโตได้รับการวินิจฉัยว่าเธอมีอารมณ์แปรปรวน และเมื่อเธอออกมาจากที่นั่น เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสติ พร้อมกับเดินสายให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ในรายการทอล์คโชว์ต่างๆ ชีวิตหลังการบำบัดของเธอยังกลายเป็นสารคดี
ทางช่อง MTV อีกด้วย

 
“ตอนที่ฉันเข้ารับการบำบัด ฉันลบแอคเคาต์ทวิตเตอร์ทิ้ง” เธอว่า “ฉันไม่อยากจะเผชิญหน้ากับอะไรทั้งนั้น ครอบครัวของฉันมาเยี่ยมและฉันก็ถามว่าคนรู้เรื่องนี้กันหรือยัง พวกเขาบอกว่า ‘รู้กันหมดแล้วล่ะ’แล้วพวกเขาก็ถามว่า ‘ลูกจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงจะให้เราบอกก็ได้ว่านี่เป็นเวลาส่วนตัวและไม่จำเป็นต้องบอกว่าลูกมาทำอะไรที่นี่ หรือเราจะเล่าทุกอย่างและแสดงให้พวกเขาเห็นว่าลูกสามารถผ่านมันไปได้ และคนอื่นก็ต้องทำได้เช่นกัน’

 
เมื่อต้นปีที่แล้วเธอได้รับรางวัลในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ National Children’s Mental Health Awareness Day ที่กรุงวอชิงตันดีซี และยังจับมือกับ CAST Recovery Services ที่เธอได้รับการบำบัด ก่อตั้งกองทุน Lovato Treatment เพื่ออุทิศให้กับพ่อแท้ๆ ของเธอที่เสียชีวิตไปในเดือนมิถุนายนปีก่อน หลังจากต่อสู้กับความเจ็บปวดจากโรคหัวใจและอาการติดยาเป็นเวลานานหลายปี “ฉันสามารถผ่านช่วงเวลาต่างๆ ได้โดยที่ไม่มีพ่อเพราะฉันคิดเอาเองว่าเขาเป็นคนไม่ดีและไม่เคยนึกย้อนอีกเลยว่าเขาก็แค่ป่วย” เธอกล่าว “และฉันคิดว่าบทเรียนนี้อาจจะช่วยชีวิตพ่อของคนอื่นๆ ได้”

 
ถึงกระนั้น เธอเอ่ยปากว่า “ฉันอยากจะดึงตัวเองออกมาจากการเป็นผู้หญิงที่เอาชนะปัญหาชีวิตได้ หรือการเป็นสาวน้อยดิสนีย์ที่จบชีวิตในสถานบำบัด ฉันไม่อยากให้คนได้ยินเพลงของฉันในวิทยุแล้วบอกว่า ‘ใช่เพลงของผู้หญิงที่กรีดข้อมือตัวเองหรือเปล่า’ บางทีที่ฉันมีความสัมพันธ์อันดีกับศิลปินคนอื่นๆ และแฟนๆ ในตอนนี้ อาจเป็นเพราะฉันไม่มีความลับอะไรปิดบังพวกเขา”

 
โลวาโตมองเงาตัวเองในกระจกหน้าต่าง ผมของเธอชุ่มไปด้วยยาเปลี่ยนสีผม มาส์กบนใบหน้าของเธอก็เริ่มแห้งแตก “นั่นแหละ” เธอกล่าวและชี้ไปที่เงาในกระจก “คือความน่ากลัว” เธอพูดต่อว่า “สิ่งเดียวที่แย่ในการตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนคือการสร้างภาพลักษณ์ ฉันไม่ชอบไปงานแจกรางวัล บางทีแฟนๆ มักจะเข้ามาหาฉันและเอามือโอบฉันทันที ฉันจะหยุดชะงักและหายใจถี่ๆ ฉันไม่อยากจะทำตัวเป็นดาราสูงส่ง แต่ฉันมีปัญหาเรื่องความวิตกจริต ถ้าฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก ฉันจะเริ่มคิดว่า ‘ฉันต้องตายแน่ๆ มีสิ่งผิดปกติกำลังจะเกิดขึ้น มีคนกำลังจะเอามีดแทงฉัน”

 
แม้โลวาโตจะอายุ 21 ปีแล้วแต่เธอก็ปล่อยความเป็นผู้ใหญ่ลอยไปกับลม เธอยังคงมีความเป็นเด็กอยู่ในหลายเรื่อง เธอยังจำเรื่องที่อยากมีห้องส่วนตัวเมื่อตอนอายุห้าขวบได้ “ฉันสนิทกับป้าลิซ่ามาก เธอมีอพาร์ตเมนต์ส่วนตัว และคนที่ฉันชอบเล่นด้วยก็ไม่ใช่เพื่อนที่โรงเรียน แต่เป็นป้าลิซ่าที่อพาร์ตเมนต์ของเธอนี่แหละ” เธอย้อนคิด “ฉันถึงกับถามแม่ว่า ‘ขอย้ายไปอยู่กับป้าลิซ่าได้ไหม’ แม่บอกว่า ‘ทั้งที่หนูยังเป็นเด็กอมมืออยู่เนี่ยนะ’ และในปีเดียวกันเธอร้องเพลงต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก “มันไม่เหมือนกับการได้เปิดเผยตัวตนหรืออะไรแบบนั้น มันเหมือนกับ ‘มันต้องเป็นแบบนี้แหละ’”

 
ความมั่นใจของเธอคือคุณสมบัติที่ทำให้เธอได้เป็นกรรมการตัดสินรายการ The X Factor ตั้งแต่อายุ 11 ปี “มันน่ากลัวมาก” เธอบอก “ฉันกลัวว่าถ้าเกิดฉันทำอะไรโง่ๆ ขึ้นมากลางคันจะทำยังไง แต่ผู้จัดการฉันบอกว่า ‘ถ้าพวกเขาคิดว่าเป็นแบบนั้นก็คงไม่จ้างเธอหรอกอย่ากลัวไปหน่อยเลย’ ฉันเลยบอกตัวเองว่าแค่เป็นตัวของตัวเองก็พอ”

 
โลวาโตเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีที่แสนทรหด เธอไม่ได้จมปลักอยู่กับบาดแผลในอดีต แต่เธอเลือกที่จะแสดงมันออกมาผ่านรอยสักบนร่างกาย “มันสับสนทีเดียวล่ะฉันเลยบอกได้แค่ว่าไม่รู้เหมือนกัน” เธอพูดพร้อมกับบิดเอวของเธอเพื่อให้เห็นคำว่า ‘Stay Strong’
ที่สักอยู่บนแผลเป็น เมื่อตอนที่ฉันอยู่ช่องดิสนีย์ฉันอยากเจาะห่วงจมูกมาก ฉันสามารถถอดมันออกได้ตอนถ่ายหนังและใส่มันกลับเข้าไปตอนอยู่บ้าน” เธอว่า“แต่ตอนนี้ฉันไม่ต้องการจมูกที่มีห่วงอีกแล้ว”

 
เรื่อง: kate williams

ภาพ: marvin scott Jarrett

สไตล์: daniela jung

แปล: ธัญภพ ชื่นอังกูร

เรียบเรียง: ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply