THE STORY OF LOVE #2 รวมประโยคเด็ดจากหนังรักที่จะทำให้คุณ ‘ตกหลุมรัก’

not

Nothing Hill

นับว่าเป็นหนังรักอมตะอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวสำหรับ Nothing Hill กับเรื่องราวของชายหนุ่มในร้านหนังสือกับซุปตาร์สาวที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเธอจะโน้มตัวลงมามอบความรักครั้งนี้ให้กับเขา เรื่องราวที่เหมือนฝันในครั้งนี้ถูกใจใครต่อหลายคนจนเป็นหนังขึ้นหิ้ง เสน่ห์ของมันไม่ได้มีจุดไหนเด่นชัด แต่เรียกว่าตลอดเวลาเกือบชั่วโมงของหนังเรื่องนี้มีเสน่ห์ทุกวินาทีเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นนัยต์ตาชวนฝันของฮิวจ์ แกรนด์ โทนสีและความละมุนละไมที่พอดี มุกตลกเฉิ่มที่แม้ไม่เรียกเสียงหัวเราะก๊ากแต่ก็ทำให้เราอมยิ้มได้ ใครที่ชอบหนังรักบรรยากาศแบบอังกิ๊ดดดดดดดดดด อังกฤษ ละก็ เรื่องนี้จะทำให้คุณตกหลุมรักได้ไม่ยากเลยทีเดียว

 

I’m just a girl, standing in front of a boy, asking him to love her.

ประโยคเด็ดจากเรื่องต้องยกให้กับคำพูดที่จากปากนางเอกสาวที่ที่เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพื่อเอ่ยปากขอความรักจากผู้ชายเชยๆ อันเป็นที่รัก ฉากนี้ทำให้เราได้รู้ว่าเมื่อเป็นเรื่องของความรักแล้ว ก็สามารถสร้างอิทธิพลให้กับหัวใจใครได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหน คู่ควรหรือไม่ สุดท้ายมันก็ขึ้นอยุ่กับคนสองคนที่มีรักให้กันเท่านั้นเอง

Love Actually

Love Actually

เราไม่อาจระบุได้ว่าหนังรักเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของหนุ่มสาวคู่ไหน เพราะมันเป็นการรวมมิตรความรักในหลากหลายรูปแบบเข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีหนุ่มผู้ตกหลุมรักสาวใช้ หรือหนุ่มที่แอบรักเพื่อนสนิท ไปจนถึงความรักแบบพ่อลูกที่ดันไปมีปัญหาหัวใจทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็ก ความสนุกของเรื่องนี้คือการดำเนินเรื่องที่ตัดไปตัดมา แบ่งความสนใจของไปเราให้กับทุกคู่แบบเท่าเทียม (จริงๆ แล้วก็มีแอบลำเอียงนิดหน่อย)  สมกับชื่อภาพยนตร์จริงๆที่ว่า Love Actually Is All Around หรือความรักอยู่รอบตัวนั่นเอง

งานพี่กี้

To Me, You’re Perfect

เรียกได้ว่าเป็นฉาก Signature ของเรื่องเลยก็ว่าได้ แต่สำหรับใครที่งงว่าประโยคนี้มันเด็ดอย่างไร เราเล่าย้อนให้ฟังว่านี่คือคำสารภาพรักจากปากผู้ชายคนหนึ่งที่หลงรักแฟนสาวของเพื่อนสนิทตัวเอง จนสุดท้ายเขาได้รวบรวมความกล้าในการบอกรักผ่านแผ่นกระดาษ พร้อมข้อความที่ว่า เขาอยากพูดความจริงในวันคริสมาสตร์ว่าสำหรับเขาแล้วเธอเพอร์เฟ็คและคนอกหักคนนี้ก็จะรักเธอตลอดไป  ซึ่งความหมายที่ซ่อนอยุ่มันน่าเศร้าตรงแม้รุ้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ขอเลือกที่จะบอกมันกับเธอและไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ซึ่งบางครั้งความรักมันก็แค่นี้ แม้ไม่ได้รักตอบขอแค่ได้บอกออกไปก็พอแล้ว

lost

Lost In Translation

หากจะให้คำจำกัดความหนังรักรางวัลออสการ์เรื่องนี้คงเป็นเพียงคำสั้นๆอย่าง ‘เหงา’ ใช่แล้วค่ะ ความเหงาใน Lost In Translation นี้เป็นทั้งพล็อต ทั้งตัวช่วยพยุงเรื่อง และซีนอารมณ์เหงาก็จุดเด่นของเรื่องด้วยเช่นกัน เรื่องความเหงาเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ‘บ๊อบ’ และ ‘ชาร์ล็อตต์’ มีเหตุจำเป็นต้องระเห็จตัวเองไปอยู่ ‘ญี่ปุ่น’ มืดบอดด้านภาษาและการสื่อสาร การพบกันของทั้งคู่จึงเป็นเหมือนแรงดึงดูดอย่างแรงกล้า และบ่อเกิดของความสัมพันธ์ในครั้งนี้ นี่คือหนังรักในอีกมุมมองหนึ่งที่ไม่ได้เดินตามสูตรสำเร็จ พลอตแปลกใหม่และการนำเสนอที่เหงากินใจราวกับดูหนัง ‘หว่อง กา ไว’ เวอร์ชั่นฮอลลีวู๊ดยังไงอย่างงั้น ใครที่ไม่ชอบความหวานเกินพอดี เรื่องนี้ใช้ได้เลยนะ

Everyone want to be found

เป็นประโยคจากคนเหงาอีกนั้นแหละที่ซึ่งความหมายจริงๆ ของประโยคนี้มีความหมายว่าคนทุกคนต้องการที่จะมีตัวตนหรือถูกจดจำ การหลงเข้าไปในดินแดนที่ตัวเองไร้ตัวตนแบบนี้มันทำให้เขารู้คุณค่าของการมีตัวตนขึ้นมานั่นเอง

aaa

ฺBefore Trilogy

พอได้ยินคำว่าไตรภาค เรามักคุ้นเคยกับหนังแนวแฟนตาซีหรือมหากาพย์ศึกดวลอะไรสักอย่าง แต่ใครจะรู้ว่าหนังรักก็สามารถรวมเป็นไตรภาคได้เหมือนกัน แถมยังทำได้ดีจนต้องยกนิ้วให้กับไอเดียและการดำเนินเรื่องแบบนี้เลย ภาพยนตร์ขุดนี้ประกอบไปด้วย Before Sunrise, Before sunset และ Before Midnight โดยแต่ละภาคจะบอกเล่าเรื่องราวแต่ละช่วงวัย เริ่มจากความรักแรกรุ่นในกรุงเวียน ข้ามผ่านเก้าปีต่อมากับความหวานในวัยหนุ่มสาว ณ กรุงปารีส ก่อนจะปิดฉากความรักเกือบยี่สิบปีลงที่ภาคสุดท้ายแบบที่คุณจะต้องอิ่มเอมใจ ความน่าสนใจสำหรับคนที่ติดตามหนังเรื่องนี้คือเราสามารถโตไปพร้อมกับมันได้ โดยแต่ละภาคจะออกฉายต่างกันเก้าปี คล้ายกับเราที่โตขึ้นตามตัวละครและมีมุมมองความรักที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

you

You can never replace anyone

เรื่องรักไม่มีใครแทนใครได้ ประโยคนี้บอกกับเราบอกตรงตัวโดยไม่ต้องอธิบายความอะไรมาก แม้เป็นอะไรที่ฟังดูเจ็บปวดแต่มันก็คือความจริงที่ว่าเรื่องของหัวใจต่อให้จะมีใครใหม่อีกกี่สิบคนและแม้จะไม่ได้รู้สึกเหมือนเดิมแล้ว แต่คนแต่ละคนก็ไม่สามาแทนที่กันได้จริงๆ

perk

The perk of being a wallflower

จะเรียกว่าหนังรักก็อาจจะพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะแต่ละประเด็นในหนังรักวัยรุ่นเรื่องนี้ช่างดูหนักหนาเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นปมในใจ ครอบครัว เพศที่สาม ทุกอย่างถูกขมวดเข้าไว้ในสองชั่วโมงที่เราได้นั่งสื่อสารกับตัวละคร ชาร์ลี ไว้อย่างลงตัว เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อตัวเอกของเราต้องย้ายเช้าไปอยู่โรงเรียนใหม่ ที่คล้ายกับเรื่องอื่นทั่วไปด้วยการเป็นคนไร้ตัวตน จนได้เจอกับกลุ่มเพื่อนที่ทำให้ชีวิตของชาร์มีสีสันขึ้น พูดแบบไม่อวยคือเอ็มม่า วัตสัน หรือตัวละครแซมในเรื่อง มีส่วนช่วยให้หนังเรื่องนี้ดูน่าสนใจขึ้น การแสดงที่ดูมีมิติและฉีกภาพเฮออร์ไมโอนี่เดิมๆทิ้งได้จนหมดสิ้น จนทำให้เราเชื่อว่าเธอเป็นเด็กใจแตกที่มีปมคนหนึ่งจริงๆ ความหนักหนาทั้งหมดถูกคลี่คลายได้ด้วยมิตรภาพดีๆ ระหว่างเพื่อน แม้อาจไม่ทั้งหมด แต่นั้นคือความจริงของมนุษย์ที่ท้ายที่สุดแล้วไม่มีอะไรสมหวังไปได้ดั่งเทพนิยาย ใครที่ชอบหนังที่มีประเด็นให้ขบคิด The perk of being a wallflower ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว

deserve

we accept the love we think we deserve

แซมข้อสงสัยชองชาร์ลีด้วยประโยคสุดกินใจนี้ หลังจากถามว่า ทำไมเธอแต่คนไม่เข้าท่ามาเป็นแฟน ซึ่งเขาก้ได้รับคำตอบว่า we accept the love we think we deserve  หรือเรามักจะมีความรักในแบบที่คิดว่าเราเหมาะสมหรือต้องการ สะท้อนให้เห็นความจริงอย่างหนึ่งว่าเรามองตัวเองแบบไหน เราก็จะมีความรักแบบนั้น

once-main-review

Once

จากกระแสหนังเพลง(ใสใส) ที่ดังเปรี้ยงปร้างอย่าง Sing Street ทำให้เราอดพูดถึงผลงานจากผู้กำกับคนเดียวกันไม่ได้ ที่ก่อนหน้านี้เขาได้ฝากผลงานเพลงรักเรื่องแรกอย่าง Once เข้าไปอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจ สร้างกระแสให้เพลง Falling Slowly ติดหูไปทั่วบ้านทั่วเมือง พลอตหนังสัญชาติไอริชเรื่องนี้เกี่ยวกับหนุ่มนักดนตรีตกอับ ที่ได้มาเจอกับนางเอกที่มีครอบครัวอยู่แล้ว ทั้งคู่ฟอร์มวงขึ้นด้วยกัน ไปพร้อมๆ กับขยับความสัมพันธ์ให้ใกล้กันมากขึ้น ก่อนที่สุดท้ายต่างคนจะแยกย้ายกันไปตามทาง (อุ๊บ ! สปอยล์) หนังเพลงรักเรื่องนี้อาจไม่ได้สดใสเหมือนผลงานที่ตามมาอย่าง Begin Again หรือ Sing street ดูยากกว่าสักเล็กน้อย แต่รับรองว่าทันทีที่ดูจบทุกคนจะมีอาหารเดียวกันคือกลับไปเสิชหาเพลงประกอบที่ตรึงใจเราไว้แน่นอน

 

 

Love Rosie

หม่นกันมาเยอะแล้ว มาต่อกันที่หนังแอบรักจากสองเพื่อนสนิทที่ระยะเวลาความสัมพันธ์อันคลุมเคลือนี้กินระยะเวลาตลอดทั้งเรื่อง ชวนเอาคนดูลุ้นให้ทั้งคู่เผยความในใจกันเสียที ‘โรซี่’ และ ‘อเล็กซ์’ คือสองเพื่่อนรักที่เติบโตมาด้วยกัน รู้ใจกัน เก็บความฝันประหลาดๆของกันและกัน พร้อมกับวางอนาคตว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน เรื่องราวช่างฟังดูดี แต่เส้นทางของทั้งคู่สะดุดลงเมื่อโรซี่เกิดท้องและต้องหยุดแผนการเรียนทั้งหมดไว้ ทำให้อเล็กซ์ต้องก้าวเดินไปบนทางสายใหม่นี้ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับที่เขาต้องเก็บความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนรักข้างบ้านนี้พกติดตัวไปคนเดียว ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตของตัวเองก่อนจะกลับมาพบกันอีกครั้ง แน่นอนว่าความรู้สึกที่มีอาจจะยังเหมือนเดิม แต่ด้วยบริบทและฐานะทางสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้ทุกสิ่งนั้นยากขึ้น หนังเรื่องนี้เล่นกับคนดูด้วยมุกตลกร้าย ความสัมพันธ์แบบเพื่อนทำให้คู่นี้ดูไม่หวานเลี่ยน กั๊กความรู้สึกกันและกันจนทำให้คนดูลุ้นตามว่าท้ายที่สุดแล้วสองคนนี้จะได้ลงเอยกันหรือไม่

 

no matter where you are, or who you’re with, I will always, truly, completely, love you

เราเกือบน้ำตาไหลกับบฉากคำอวยพรในงานแต่งงานของอเล็กซ์ที่หลังจากจมอยู่กับความคลุมเคลือมาทั้งเรื่อง  โรซี่ก็อดไม่ไหวเมื่อต้องเอ่ยคำอวยพรให้เขา ซึ่งเธอได้ทิ้งท้ายไว้อย่างกินใจว่า no matter where you are, or who you’re with, I will always, truly, completely, love you หรือแปลสั้นๆว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะรักเขาตลอดไป

 

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply