เม้าท์มอยกับเจเจ x ต้าเหนิง เห็นภาพตัวเองกันยังไงในวัย 30
ก่อนที่ Shoot! I Love You หนึ่งใน Project S the series จะบอกลาจอไป NYLON ขอชวนทุกคนมาพูดคุยกับสองนักแสดงหลักจากเรื่องทั้ง ‘เจเจ-กฤษณภูมิ’ และ ‘ต้าเหนิง-กัญญาวีร์’ กันหน่อย ไม่เพียงแต่คุยเรื่องซีรีย์เท่านั้น เรายังขอล้วงลึกถึงความฝันที่แท้จริง และชวนคิดถึงตัวเองในวัยสามสิบของทั้งสองคนกันด้วย จะมัวชักช้าอยู่ไยไปคุยกับทั้งคู่เลยดีกว่า!
ตามธรรมเนียม แนะนำตัวก่อนเลย
เจเจ: สวัสดีค้าบ เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงครามครับผม
ต้าเหนิง: ค่า ต้าเหนิง-กัญญาวีร์ สองเมืองค่ะ
พูดถึงผลงานล่าสุดของทั้งคู่ ซีรีย์ Shoot! I Love You ให้ฟังกันนิดนึง
เจเจ: ครับผม Shoot! I Love You เป็นหนึ่งใน Project S the series ก็จะเกี่ยวกับยิงธนูครับ เรื่องก็เล่าถึงผู้หญิงคนนึงชื่อว่า ‘โบว์’ รับบทโดยฟรัง-นรีกุลครับ ซึ่งโบว์เนี่ยจะเป็นคนที่เปลี่ยนงานอดิเรกตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองชอบอะไร พอรู้สึกว่าอันนี้ห่วยก็เปลี่ยนๆๆ ไปเรื่อยๆ จนเขามาเจอกับ ‘อาชวิน’ รับบทโดยนนกุลครับ ซึ่งพอเขาได้เจออาชวินแล้วเขารู้สึกว่าอาชวินเท่มากก ชอบ เลยหาวิธีการที่จะได้อยู่ใกล้เขา โดยตัวอาชวินในเรื่องเนี่ยจะเปิดสนามธนู และก็เป็นนักยิงธนูด้วยครับผม โบว์ก็เลยไปยิงธนู เพื่อที่จะได้ตามอาชวิน
ส่วนผมรับบทเป็น ‘แชน’ ครับ แชนก็เป็นเพื่อนสนิทของโบว์ ที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็จะเป็นลูกน้องเขา เวลาที่เขาทำอะไร เราก็ทำตามเขา ซึ่งแชนกับโบว์เนี่ยมีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกันคือเขาไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
ต้าเหนิง: ของหนูรับบทเป็น ‘เฟม’ ค่ะ เป็นเพื่อนที่ยิงธนูกับอาชวินมาตั้งแต่เด็กๆ
จริงๆ แอบคิดว่าซีรีย์เรื่องนี้ดูเบาที่สุดใน 4 เรื่องของ Project S เลย
ต้าเหนิง+เจเจ: ช่ายยยยย (พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง)
ต้าเหนิง: เพราะว่าด้วยมู้ดของเราเป็นโรแมนติกคอเมดี้ เลยต่างกับเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา
เจเจ: ช่าย อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมเองนะครับ ด้วยสามเรื่องที่ผ่านมาตัวเรื่องค่อนข้างเข้มข้นใช่ไหมครับ ในเรื่องที่ 4 คือเรื่องของผมก็เลยจะเบากว่า เหมือนกับเป็นของหวานเพื่อส่งมอบความสุขให้ทุกคนในช่วงคริสมาสต์ ปีใหม่ด้วยครับ ตามสไตล์ GDH
แสดงว่า Shoot! I love you มีความเป็น GDH มากที่สุด
เจเจ: จริงๆ ทุกเรื่องมีความเป็น GDH ทั้งหมดครับ ผู้กำกับใน GDH ก็จะมีลายเส้นที่แตกต่างกันออกไป อยู่ที่ว่าเรื่องนั้นเขาอยากจะนำเสนออะไร ซึ่งในเรื่องของพวกเราผู้กำกับก็คือ ‘พี่กุ๊ก’ ครับผม
แล้วทำไมในเรื่องต้องเป็นกีฬา ‘ธนู’ ดูเป็นกีฬาที่คนนึกไม่ถึงกัน
เจเจ: พี่กุ๊ก (ผู้กำกับ) เขาบอกว่า ก่อนที่จะเริ่มเขียนบทพี่ๆ เขาจะให้เลือกกีฬามาหนึ่งอย่าง ซึ่งพี่กุ๊กก็เลือกกีฬายิงธนูเพราะอยากลองเล่นครับ
ต้าเหนิง: เหมือนเลือกผ่านความต้องการของพี่กุ๊กเอง
แล้วในฐานะนักแสดงรู้สึกยังไงบ้างกับการที่ต้องมายิงธนู
ต้าเหนิง: น่าจะไม่ยากนะ น่าจะแค่ไปยิงๆ
เจเจ: ใช่ๆ น่าจะไม่ยาก แต่ก็มีความสนใจในการยิงธนูเพราะรู้สึกว่ามันเท่ แต่เราไม่เคยได้ไปแตะมันเลยนะ เราก็รู้สึกว่ามันง่าย ซึ่งพอมาลองเล่นจริงๆ คือมันยากมาก
ต้าเหนิง: ยากมากกกกกกกกกก (ลากเสียงยาวกอไก่.ล้านตัว)
แล้วมีการเตรียมตัวในเรื่องนี้กันยังไงบ้าง นานไหมกว่าจะเข้าที่เข้าทาง
เจเจ: เราฝึกยิงธนูมาประมาณ 1 ปีครับ
ต้าเหนิง: ปีกว่าๆ เลย
เจเจ: รวมก่อนที่จะเริ่มถ่ายและระหว่างถ่าย แล้วก็มีเวิร์คชอปกันก่อนที่จะถ่ายซีรีย์อีก 2-3 เดือนด้วยครับ
พูดถึงทีมนี้ให้ฟังหน่อย (เจเจ, ต้าเหนิง, ฟรัง, นนกุล)
ต้าเหนิง: หนูกับฟรังเคยร่วมงานกันมาแล้ว แต่เป็นการโคจรผ่านๆ ถ้าถามว่าสนิทกับใครที่สุดในนี้ก็จะเป็นฟรัง ซึ่งเราก็จะไม่ห่วงตรงนี้ แต่เจกับนนไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน ก็จะมีความกลัวที่จะไม่ซิงค์กันในช่วงแรกๆ คือเหมือนเราซิงค์ในชีวิตจริง แต่อาจจะไม่ซิงค์ในการแสดงก็ได้ แต่ก็ถือว่าทีมเราเข้ากันได้ดีค่ะ
เจเจ: ผมว่านักแสดง 4 คนนี้มี Passion เป็นของตัวเอง แล้วก็มีความตั้งใจและผ่านงานมาประมาณนึงครับ มันเลยทำให้เด็ก 4 คนที่มารวมกันมีความรับผิดชอบในส่วนของตัวเองมาก่อน พอทุกคนเอาการบ้านของแต่ละคนมาชนกันมันก็เลยออกมาได้ลงตัว
ต้าเหนิง: เหมือนพอเรามา discuss กันแล้ว มันได้ผลออกมาจริงๆ
คิดว่ามีจุดไหนที่ทีมเรามีเหมือนๆ กัน อย่างแพท-ชญานิษฐ์บอกว่าสิ่งที่คนในเรื่อง Skate ซึม ซ่าส์ มีเหมือนกันคือความบ้า ความเพี้ยน แล้วของทีมเราล่ะ
เจเจ: ความอ๊องมั้งครับ
ต้าเหนิง: ความอ๊องแบบที่ทุกคนเตรียมตัวมาดี
เจเจ: เป็นความไร้สาระที่มันมีสาระอ่ะฮะ นึกออกไหม แบบว่าแต่ละคนก็จะมีความไปสุดทางของแต่ละคน
ต้าเหนิง: จริงๆ แล้วใน 4 คนนี้จะมีความทำการบ้านในตัวละคร ซึ่งนนเป็นคนที่เนิร์ดมาก…ในทุกๆ ด้าน ส่วนตัวหนูกับฟรังจะเป็นคนที่ทำการบ้านละเอียด
เจเจ: ของผมก็ละเอียดครับ แต่ผมจะเป็นสายชิลล์ๆ แบบไม่เครียดครับ (ยิ้ม) คือผมจะไม่ค่อยเก็บมาเครียดเท่าไร แต่ผมก็ทำการบ้านหนักมากเหมือนกัน
ต้าเหนิง: แต่กองเราไม่มีความเครียดเนอะ
เจเจ: เพราะมันเป็นโรแมนติคคอเมดี้ด้วย เราเลยไม่สามารถเครียดได้
อ่ะ แล้วถ้าไม่ใช่ Shoot I Love You ถ้าเลือกได้ใน Project S the series อยากเล่นเรื่องไหนกัน
เจเจ: ผมอยากเล่น Side by side ครับ เพราะผมรู้สึกว่านักแสดงในเรื่องมีแต่คนที่เก่งๆ เป็นคนที่มีประสบการณ์เยอะ อย่างพี่สู่ขวัญ พี่เปิ้ล พี่ต่อ ดูน่าจะท้าทายครับ แล้วก็ส่วนตัวผมเอง ผมมีความผูกพันกับครอบครัวมากด้วย
ต้าเหนิง: Side by side เหมือนกันค่ะ หนูรู้สึกว่ามันมีอิทธิพลในทุกทางเลย จริงๆ หนูอยากเป็นคนเก็บลูก วิ่งเก็บลูกในคอร์ทแบด แล้วก็ดูว่าคนอื่นทำอะไรไปด้วย แล้วหนูก็รู้สึกว่าเวลาเราดูเรื่องนี้เราไม่อยากจะคลาดสายตาจากจอทีวีเลย รู้สึกว่าเราต้องอยู่กับมันตลอด ถ้าได้เล่นอยากเล่นเป็นคนที่วิ่งเก็บลูกแบดค่ะ
เจเจ: วิ่งไหวเหรอ
ต้าเหนิง: ก็….ก็วิ่งไป
แล้วคิดว่าตัวเองโตขึ้นไหมในฐานะนักแสดง ตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงการมาจนถึงวันนี้ มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง
เจเจ: โตครับ คือเมื่อก่อนผมคิดว่าการแสดงเหมือนเป็นงานอดิเรกมากกว่า แต่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าพอเราโตขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราอยู่กับมันนานขึ้น ได้เจอกับคนเก่งๆ คนที่มี passion พอเราดูผลงานของคนอื่น มันทำให้เรารู้สึกว่าอยากทำได้เหมือนเขาบ้าง ซึ่งมันเลยทำให้เรารับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำอยู่มากขึ้น มีความรัก มีเวลาให้กับมันมากขึ้น
แล้วในเรื่อง Shoot! I love you มันเป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของพี่กุ๊กด้วย เหมือนกับว่าพี่กุ๊กได้ทดลองงาน ได้เริ่มทำงานอะไรหลายๆ อย่างเอง เลยทำให้เหมือนกับว่าผมก็เริ่มไปพร้อมกับพี่กุ๊กด้วยครับ ผมลองเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ ทำความเข้าใจกับมันใหม่ ซึ่งผลตอบรับออกมาก็เป็นบวกทั้งหมดครับ
แล้วต้าเหนิงล่ะ มีอะไรที่เปลี่ยนไปจากเด็กหญิงต้าเหนิงในวันนั้นบ้าง
ต้าเหนิง: หนูโตขึ้นมากเลยค่ะจากการทำงาน เหมือนเราได้เรียนรู้ทั้งเรื่องคน เรื่องการทำงาน ทั้งเรื่องของการอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ทุกครั้งที่เราออกไปทำงานมันทำให้เราโตขึ้น ให้เราเก็บประสบการณ์ เหมือนบางทีเราได้เรียนรู้ประสบการณ์จากคนอื่นหรือจากตัวละครที่เราเล่นโดยที่เราไม่ต้องไปเจอเองเลย แล้วอีกอย่างคือดูมีความคิดมากขึ้น คิดเป็นระบบเหมือนที่คนอื่นเขาคิด เหมือนกับว่าปกติด้วยวัยของเราแล้วเราไม่ต้องมาคิดอะไรเยอะแยะ แค่เรียนหนังสือ กลับบ้าน กิน แล้วก็นอน แต่พอมาอยู่ตรงนี้ก็ทำให้เราต้องรับผิดชอบ ต้องคิดอะไรมากขึ้นด้วย
โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเสน่ห์ของการแสดงคืออะไร
ต้าเหนิง: การได้เป็นคนอื่นค่ะ ได้ลองเป็นคนที่เราไม่มีวันเป็น แต่การได้ลองไปเป็นเขา ได้เข้าใจและได้เรียนรู้หลายอย่างจากชีวิตเขาหนูคิดว่ามันคือเสน่ห์ของการแสดงค่ะ
เจเจ: สำหรับผม สิ่งที่เห็นชัดๆ เลยคือการได้เข้าใจตัวเองครับ มันเหมือนกับก่อนที่เราจะไปเข้าใจคนอื่นเราต้องเข้าใจตัวเองให้ดีก่อนอ่ะครับ ถ้าเราไม่เข้าใจว่าตัวตนที่แท้จริงเราเป็นยังไง เราจะไม่มีทางเข้าใจคนอื่นได้เลย
แล้วตอนนี้เข้าใจตัวเองหรือยัง
ต้าเหนิง: ยัง
เจเจ: ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย (หัวเราะ)
จากที่พูดมาดูมีข้อดีนะ ได้ทำให้โตขึ้น ได้ประสบการณ์หลายๆ อย่าง แล้วคิดว่าข้อเสียของการที่เรามาอยู่ตรงจุดนี้คืออะไรบ้าง
ต้าเหนิง + เจเจ: ชีวิตส่วนตัวเลย
ต้าเหนิง: แล้วก็วัยเด็กที่หายไป
เจเจ: สำหรับผมวัยเด็กไม่ได้หายครับ แต่มันมาพร้อมกับความกดดัน คือเราต้องใช้ชีวิตปกติเหมือนเด็กคนอื่นด้วย แล้วก็ต้องทำงาน ทำในสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบด้วย มันเป็นความกดดันเกินเบอร์กว่าที่เด็กมหาลัยปี 2 ปี 3 จะได้รับ
ชีวิตส่วนตัวหายไปเยอะไหม
ต้าเหนิง+เจเจ: เยอะเลย
แต่คิดว่าคุ้มไหมกับการที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้
เจเจ: คุ้มนะครับ เพราะว่าเอาจริงๆ สิ่งที่เราวางแผนไว้ตั้งแต่เด็ก แล้วคิดว่าน่าจะทำได้ตอนอายุ 30-31 ตอนนี้เป็นจริงหมดแล้วครับ
แล้วจริงๆ ช่วงวัยเด็กก่อนเข้าวงการคิดไหมว่าอยากทำอะไร
ต้าเหนิง: หนูอยากนอน แล้วก็มีเงินใช้ปกติเลยค่ะ
เจเจ: ผมอยากนอน… แล้วก็ทำธุรกิจที่บ้านครับ
มีอาชีพในฝันกันไหม
ต้าเหนิง: หนูไม่มีความฝันอย่างนั้นเลยค่ะ คือทั้งชีวิตหนูรู้สึกว่าหนูแค่อยากจะนอน แล้วก็มีเงินใช้ แล้วก็มีของกินที่ดี
เจเจ: เล่นหุ้นแล้วก็นอน
ต้าเหนิง: ไม่ ไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากใช้สมอง หนูเป็นคนขี้เกียจเรียนหนังสือม๊ากกกกก (ลากเสียงยาว) อยากนอนเฉยๆ แต่ไม่อยากเป็นผัก อยากมีสุขภาพที่ดี แต่ก็อยากนอนอยู่เฉยๆ (หัวเราะหนักมาก)
แสดงว่าก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นนักแสดงมาก่อนเลย
ต้าเหนิง+เจเจ: ไม่เคยเลย
งั้นยังจำได้ไหมว่าความรู้สึกแรกตอนที่ก้าวเข้ามาในวงการรู้สึกยังไงกัน
เจเจ: มันเป็นคำว่า ‘เอ๊ะ…ได้แล้วเหรอ’ งงๆ
ต้าเหนิง: นอกจาก ‘เอ๊ะ…เข้ามาได้แล้วเหรอ’ มันจะเป็นความรู้สึกแบบ ‘เอ๊ะ…เราจะทำตรงนี้จริงๆ เหรอ’ ทุกสเต็ปจะมีคำว่า ‘เอ๊ะ…’
แล้วถ้า ณ ตอนนี้ไม่ได้เป็นนักแสดง คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไร
ต้าเหนิง: หนูก็เป็นนักศึกษาธรรมดา
เจเจ: ผมก็คงเป็นนักศึกษา เลิกเรียนก็ขับรถไปที่ร้าน ช่วยแม่ปิดร้าน พาแม่กลับบ้าน
เอาหลังจากเรียนจบแล้วสิ
ต้าเหนิง: อ๋อออ…ถ้าเรียนจบแล้วหนูก็คงทำธุรกิจที่บ้าน
เจเจ: ผมก็น่าจะเฝ้าร้านทองหม่าม๊า จะสัก แล้วก็…พกปืน แล้วก็…เล่นหุ้น เฝ้าร้านทอง คือผมวาดไว้ว่าถ้าผมไม่ได้เป็นนักแสดง ผมคงเป็นอาเสี่ยนั่งเฝ้าร้านทอง (หัวเราะ)
ต้าเหนิง: ซึ่งหนูว่าดีแล้วที่พวกเราไม่มีใครได้ทำตามความฝัน…(หัวเราะหนักมาก)
ฮ่าๆ ….โอเค แล้วคิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ในวัยสามสิบกว่าเราจะทำอะไรอยู่ ยังเป็นนักแสดงกันอยู่ไหม
เจเจ: ผมน่าจะ… กลับบ้านไปดูแลพ่อกับแม่แล้วครับ ไปรับ-ส่งน้องเรียน ก็ยังคงอยู่ในวงการครับ แต่ผมคิดว่าถ้าผมอายุเข้าเลขสามแล้ว ผมคงอยากรีบทำอะไรที่ตอนนั้นยังสามารถทำได้ ผมคงทำตามใจตัวเองมากขึ้นในวงการบันเทิง อาจจะกลับมาเช็คความรู้สึกตัวเองว่าเราอยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร คือถ้าเราอยู่ตรงถึงจุดนั้น เราน่าจะเป็นตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่เราต้องการทำจริงๆ
ต้าเหนิง: หนูอยากไปเที่ยวค่ะ อยากไปเที่ยวรอบโลก อยากไปตามเก็บสถานที่ที่อยากไป เพราะหนูรู้สึกว่าถ้าหนูแก่ไปกว่านี้หนูจะเหนื่อย อยากรีบไปตอนที่เราไปแล้วยังสนุก อยากไปเรื่อยๆ เลย
เจเจ: แต่ถามว่ามีเงินไหม
ต้าเหนิง: ไม่มี (หัวเราะ) ก็เลยอยากเก็บๆๆ เงินไว้แล้วไปเที่ยวไง
เจเจ: คือเราก็อาจจะอยู่ในวงการแหละ แต่คงมีอะไรให้เราทำหลายอย่างมากขึ้นไม่ใช่แค่นักแสดง อาจจะเป็นพิธีกรหรือดีเจ
ต้าเหนิง: มันอาจจะมีอะไรให้เราได้ทำมากขึ้นกว่านี้
สุดท้ายแล้วฝากซีรีย์ Shoot! I Love You หน่อย
เจเจ: อยากให้ทุกคนดูกันเยอะๆ นะครับ แล้วก็ช่วยกันแชร์ว่าชอบตัวละครตัวนั้น ตัวนี้
ต้าเหนิง: ฟีดแบคมาหาเราได้เลยค่ะ เพราะว่าพวกเราชอบฟัง เราอยากรู้ว่าคนอื่นคิดยังไง
เจเจ: ช่าย แล้วเราก็จะได้เก็บมาพัฒนาตัวเองต่อไปในอนาคตครับ และสิ่งที่อยากให้ทุกคนได้จากเรื่องนี้ก็คือความสุขละกันครับ ถือว่าเป็นการปิดท้ายปีด้วยการดูซีรีย์อารมณ์ดี คิ้วท์ๆ คอเมดี้ของเราครับผม
แถมๆ มีอะไรฝากถึงแฟนๆ หรือคนที่ติดตามเราไหม
เจเจ: ขอบคุณมากๆ ครับที่คอยติดตามเรา คอยสนับสนุนผลงานของเรา
ต้าเหนิง: เป็นกำลังใจให้ คอยซัพพอร์ต
เจเจ: ช่าย คอยผลักดันเราไปในทางที่ดี เราจะพยายามทำเต็มที่และไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังครับ
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!