journy to the past

หนังเรื่อง Lara Croft: Tomb Raider ไม่ได้ทำให้ แองเจลินา โจลี รับเด็กชายชาวเขมร แมดด็อกซ์ มาเป็นบุตรบุญธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการโฆษณาเมืองมรดกโลกอย่างเสียมราฐให้อยู่ในสายตาของชาวโลกยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

 

เมืองเสียมเรียบ (Siem Reap) หรือในชื่อไทยว่าเสียมราฐ อาจเป็นที่รู้จักและมีความสำคัญต่อประเทศกัมพูชามากกว่าเมืองหลวงอย่างพนมเปญเสียอีก เนื่องจากรายได้หลักกว่าครึ่งของประเทศนี้มาจากการท่องเที่ยว และเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ก็มาจากเมืองเสียมเรียบแห่งนี้ ยังไม่พูดถึงภาพปราสาทนครวัด (Angkor Wat) ที่โบกสะบัดอยู่บนผืนธงชาติกัมพูชาจนเรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติก็คงไม่ผิดนัก

 

 

‘See Angkor Wat and Die’ ประโยคอมตะที่นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ อาร์โนลด์ ทอยน์บี เคยกล่าวไว้ นครวัดจึงเป็นแลนด์มาร์กอันดับหนึ่งในเสียมราฐที่ทุกคนต้องไปเยือน ปราสาทหินอันเก่าแก่นี้ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี นับตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โดยในตอนแรกตั้งใจให้เป็นเทวสถานของศาสนาฮินดูเพื่อถวายแด่พระวิษณุ แต่เมื่อพ้นจากรัชสมัยก็ถูกเปลี่ยนเป็นพุทธสถาน จัดว่าเป็นสุดยอดของสถาปัตยกรรมขอมในยุคคลาสสิกที่ยังหลงเหลืออยู่และเป็นศาสนสถานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยพื้นที่เกือบ 2 ตารางกิโลเมตร ได้ยินเช่นนี้แล้วอย่าลืมเตรียมกำลังขาและรองเท้าใส่สบายสักคู่มาก้าวย่ำไปให้ทั่วปราสาท นักเที่ยวแบบฮาร์ดคอมักตื่นแต่เช้ามืดเพื่อรอชมพระอาทิตย์ส่องแสงเรืองรองขึ้นที่ด้านหลังนครวัด มองเห็นยอดปราสาททั้ง 5 หลังเป็นซิลูเอตสะท้อนเงาลงบนผิวน้ำของสระบัวด้านหน้า ช่วงเวลาไม่กี่นาทีนี้เองที่ช่างภาพต่างพากันตั้งกล้องและรัวชัตเตอร์ เพื่อเก็บภาพที่สวยจับจิต ส่วนใครที่ตื่นไม่ไหว (เรารู้ดี) ก็ขอให้จัดไว้เป็นโปรแกรมสุดท้ายของวันที่ได้รูปสวยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งยังเดินสบายไม่ร้อนแดด ว่ากันว่าจะเดินนครวัดให้สนุกต้องคอยสังเกตสังการูปสลักของนางอัปสรที่มีมากถึง 1,635 รูป แต่ละรูปสวมเครื่องแต่งกายและทรงผมที่ไม่ซ้ำกันเลย นางอัปสร 3 รูปที่ถือว่าเป็นนางเอกของปราสาทคือนางอัปสรเปลือยอก นางอัปสร ที่มีลิ้นสองแฉก และนางอัปสรที่ยิ้มเห็นฟัน ส่วนจะปรากฏอยู่ที่ซอกมุมไหนบ้างต้องไปเดินส่องหากันเอาเอง

 

 

นับจากสงครามเขมรแดงจบลงในปี 1993 มรดกโลกแห่งนี้เริ่มกลับมาเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวราวปีละ 6 หมื่นคน แต่หลังจากที่คนทั่วโลกได้เห็นฉากแองเจลินา โจลี พายเรืออยู่ในสระบัว (ซีจี) หน้านครวัดในหนังเรื่อง Lara Croft: Tomb Raider ที่ออกฉายในปี 2001 ก็มีนักท่องเที่ยวแห่มาเยือนโบราณสถานแห่งนี้เพิ่มขึ้นถึง 2.5 แสนคน และทวีขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 3.3 ล้านคนในปี 2012 แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องการจัดระบบเข้าชมและบูรณะซ่อมแซม เนื่องจากทางเสียมราฐได้จัดองค์กรดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะปราสาทโบราณอายุราว 800 ปี นี่แหละที่สร้างรายได้ให้กัมพูชามากถึงปีละ 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

 

 

นอกจากนครวัดแล้ว เสียมราฐยังมีปราสาทโบราณอีกหลายแห่งกระจายอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองพระนคร สำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดเสียมราฐจึงกำหนดบัตรเข้าชมแบบ one-day pass ในราคา 20 เหรียญสหรัฐฯ และ 3-day pass ในราคา 40 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งต้องไปซื้อที่จุดจำหน่ายบัตรในเมืองก่อน อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าไปซื้อที่หน้าปราสาทล่ะ

 

 

โบราณสถานที่ได้รับความนิยมเป็นรองจากนครวัดเห็นจะเป็นบายน (Bayon) ปราสาทหินสุดท้ายของอาณาจักรเขมรที่ตั้งอยู่ใจกลางนครธม (Angkor Thom) สร้างขึ้นเพื่อเป็นวัดประจำสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 ประกอบด้วยปรางค์ 54 องค์ แต่ละองค์ถูกแกะสลักเป็นรูปพระพักตร์ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์อยู่ทั้งสี่ทิศ อีกหนึ่งแห่งที่ฮิตไม่แพ้กันคือปราสาทตาพรหม (Ta Prohm) ที่สร้างขึ้นในยุคเดียวกับบายน เดิมทีเป็นวัดในศาสนาพุทธที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่พระราชมารดา จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของปราสาทแห่งนี้คือต้นสะปง (บ้านเราเรียกว่าต้นสำโรง) ขนาดมหึมาเลื้อยโอบรัดและชอนไชปราสาทแทบทุกหลัง ไม่น่าเชื่อว่าธรรมชาติจะออกแบบสรรสร้างได้งดงามราวกับจัดวาง ทั้งยังช่วยยึดประคองตัวปราสาทไม่ให้หักพังลงมาด้วย ที่นี่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง Lara Croft: Tomb Raider และโด่งดังไม่แพ้นครวัด

 

 

ชาวเสียมราฐส่วนใหญ่มีรายได้น้อย ทำงานรับจ้างทั่วไป ถ้าไปครั้งแรกอย่าตกใจถ้าเจอเด็กๆ เดินเร่ขายของตามสถานที่ท่องเที่ยว ยิ่งรู้ว่าเป็นคนไทยยิ่งไม่ต้องสืบ เด็กพวกนี้พูดภาษาไทยได้และจะเดินตามตื๊อคุณมาจนถึงประตูรถเลยทีเดียว แต่ขอให้ทำใจแข็งไว้ หรือถ้าอยากจะซื้ออะไรจริงๆ ก็ต้องถามราคาให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นคุณอาจโดนหลอกได้ง่ายๆ อีกเรื่องที่ฮาไม่แพ้กันคือเวลาคุณยืนรวมกลุ่มเพื่อถ่ายรูปหมู่ตามปราสาทต่างๆ จะมีตากล้องที่ไม่ได้รับเชิญแอบกดชัตเตอร์อยู่ด้านหลัง จากนั้นขณะที่คุณและเพื่อนๆ กำลังเดินออกจากปราสาท ตากล้องคนนั้นก็จะยื่นภาพของพวกคุณที่ไปแอบปรินต์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พร้อมรีทัชหน้าซะเนียนวิ้ง แปะชื่อสถานที่และวันที่ไว้เสร็จสรรพ ขายให้คุณในราคาที่ไม่แพงนัก ถ้าไม่ซื้อเขาก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าอยากซื้อเก็บไว้ก็ขอให้เล่นตัวไว้ก่อน เพราะท้ายที่สุดเขาจะขายให้เราในราคาที่ถูกลงกว่าครึ่ง จาก 40 บาทเหลือแค่ 10 บาทก็เคยได้มาแล้ว พูดถึงเรื่องเงิน กัมพูชาใช้เงินสกุลเรียลกัมพูชา (1 บาทแลกได้ราว 130 เรียล) แต่คุณสามารถใช้เงินบาทซื้อของได้เลย ไม่ต้องคูณหารให้ปวดหัว หรือหากแลกเป็นเงินเรียลแล้วก็ต้องใช้ให้หมด เพราะเมื่อนำไปแลกคืนจะขาดทุนย่อยยับเชียวล่ะ

 

 

หากคุณมาเที่ยวเสียมราฐ รับรองว่าเงินไม่ค่อยกระเด็นออกจากกระเป๋านักหรอก เพราะข้าวของที่ขายก็คล้ายกับบ้านเรา (ถ้าเป็นชาวต่างชาติอาจจะตื่นตาอยู่บ้าง) ที่นี่ไม่มีห้างติดแอร์ให้เดินช้อป จะมีก็แต่ตลาดซาจ๊ะ หรือ The Old Market ตลาดเก่าแก่ของเสียมราฐที่ขายของสัพเพเหระ มีทั้งส่วนที่ขายสินค้าท้องถิ่นและส่วนที่เป็นตลาดสด ถึงไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือก็น่าแวะไปเดินถ่ายรูปอาคารบ้านเรือนสวยๆ ในย่านนี้ที่คงสไตล์ยุโรปตั้งแต่ครั้งยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส

 

 

เรื่องอาหารการกินของเขมรอาจไม่ค่อยถูกปากคนไทยอย่างเรา เพราะคนที่นี่เน้นรสชาติหวานเป็นหลัก ของคาวก็หวาน ของหวานยิ่งหวานหนัก ถ้าลองชิมอาหารเขมรแบบพอเป็นพิธีแล้ว ขอแนะนำให้ไปนั่งร้านอาหารนานาชาติชื่อ FCC Angkor ที่สวยโมเดิร์นชนิดที่ถ่ายรูปมาคงเดาไม่ถูกว่าร้านนี้อยู่ในเสียมราฐ เมนูที่ทุกคนต้องสั่งคือพิซซ่าที่อบในเตาฟืน สั่งมากินคู่กับกาแฟเย็น อร่อยเกลี้ยงถาดอย่างไม่รู้ตัว (www.fcccambodia.com/angkor) กินเสร็จแล้วอย่าลืมแวบลงมาที่ชั้นล่าง มีร้านขายเสื้อผ้าของอีริก ไรซีนา (Eric Raisina) แฟชั่นดีไซเนอร์และนักออกแบบผ้าชื่อดังชาวมาดากัสการ์ที่เคยทำงานให้กับ Christian Dior และ Yves Saint-Laurent มาแล้ว ถือเป็นห้องเสื้อของดีไซเนอร์ชั้นนำที่ดังที่สุดในเสียมราฐที่แฟชั่นนิสต้าตัวจริงไม่ควรพลาดซื้อติดไม้ติดมือกลับมา

 

 

หลังตะวันตกดิน นักท่องเที่ยวทั้งเมืองจะพากันมารวมตัวที่ Pub Street ย่านบันเทิงยามค่ำคืนของเสียมราฐที่ให้อารมณ์เหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา อยากให้ไปเริ่มต้นวอร์มอัพด้วยการจิบค็อกเทลที่ร้าน Miss Wong บาร์สวยเก๋สีแดงสดตัดกับเบาะหนังสีดำ ตกแต่งสไตล์เซี่ยงไฮ้ย้อนยุค (www.misswong.net) เดินลึกเข้ามาในซอยหน่อยก็ต้องสะดุดตากับร้านอาหารและบาร์สีเหลืองอ๋อยชื่อ The Yellow-Sub แค่ได้เห็นชื่อร้านแล้วส่องผ่านประตูกระจกเข้าไปก็รู้ทันทีว่าร้านนี้ได้แรงบันดาลใจจากวงเดอะบีเทิลส์แบบเต็มๆ ด้วยความที่เจ้าของร้านเป็นแฟนพันธุ์แท้ของวงสี่เต่าทอง เราจึงเห็นเบอร์เกอร์ชื่อจอห์น เลนอน พอล แม็กคาร์ตนีย์ หรือโยโกะ โอะโนะ ปรากฏบนเมนู เช่นเดียวกับบนผนังทั้งสามชั้นของร้านที่อัดแน่นด้วยภาพถ่าย ปกอัลบั้ม และแผ่นเสียงของวงเดอะบีเทิลส์ ชั้นสองมีห้องเล่นพูลและโต๊ะตีปิงปองให้เล่นกันเพลินๆ หรือจะเดินขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าก็ได้อารมณ์ไม่หยอก (www.theyellow-sub.com)

 

 

พอเลือดฝาดเริ่มขึ้นหน้าก็ได้เวลาย้ายขบวนมาที่ Temple Club ซึ่งอยู่ห่างแค่หัวมุมตึก คลับชื่อดังแห่งนี้ตกแต่งผนังและประตูทางเข้าได้อลังการเหมือนนครวัด แต่ข้างในเปิดเพลงฝรั่งตื๊ดๆ ให้ได้เต้นกันกระจาย (อย่าดูถูกดีเจเขมรเชียวนะ เพราะพี่เขาเปิดเพลงดีมาก พูดเลย) ถ้าเริ่มเบื่อก็เดินข้ามถนนไปเปลี่ยนสเต็ปที่บาร์ ชื่อกวนว่า Angkor What? ที่ดึงดูดสายตาด้วยผนังหลากสีสันสไตล์กราฟิตี้ บวกกับบีตเพลงเร่งจังหวะกว่าร้านแรก เหมาะแก่การจัดไว้เป็นที่ปิดท้ายข่าวดีสำหรับนักชนแก้วก็คือเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ของที่นี่ถูกมาก โดยเฉพาะเบียร์ท้องถิ่นยี่ห้อดังอย่าง 333 แบบดราฟต์แก้วละแค่เหรียญเดียว แถมรสชาติดีชนิด ดื่มเพลินจนลืมนับแก้วใครว่าเสียมราฐมีแต่ปราสาทหินเก่าแก่ เราขอเถียง!

 

 

เรื่อง: ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์

ภาพ: ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์/ปวีณ์ธิดา ธัญญศิริ

 

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply