kyoto fall from grace

Memoirs of a Geisha หนังรักที่ตีแผ่ชีวิตของเกอิชา หรือนางผู้ขายงานศิลปะฉบับฮอลลีวูด ที่ออกฉายในปี 2005 แม้จะมีข้อผิดเพี้ยนจากชีวิตจริงจนชาวญี่ปุ่นบางคนไม่เห็นด้วย แต่ต้องยอมรับล่ะว่าฉากแสนประทับใจในเกียวโตที่ถ่ายทอดมานั้น สร้างแรงบันดาลใจให้เหล่านักเดินทางวาดฝันไปเยือนทันที (แล้วจะรออะไรล่ะ ในเมื่อคนไทยสามารถไปเที่ยวแบบตัวปลิวโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้แล้ว!)

 

 
ร้อน ร่วง หนาว ผลิ สี่ฤดูในประเทศญี่ปุ่นที่เปี่ยมเสน่หาให้ชาวไทยหมั่นไปเยือน หากถามว่า คนไทยชอบญี่ปุ่นในฤดูไหนที่สุด ร้อยทั้งร้อยไม่พ้นหลงรักช่วงซากุระบานในระหว่างปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน และฤดูใบไม้เปลี่ยนสีในระหว่างปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน เพราะคนไทยชอบถ่ายรูป (ตัวเอง) กับสีสันของธรรมชาติที่สุด! โตเกียว อาจเป็นสาวสมัยใหม่ที่ถูกจริตด้วยลีลาบาดตาบาดใจ แต่ถ้าถามเราในฐานะผู้ชอบความละมุนละไมแล้วล่ะก็ เกียวโตคือสาวในอุดมคติที่แสนจะงามละเมียดสะกดใจ ไม่ว่าไปพบเจอฤดูไหนก็ยังค้นพบแง่งามเสมอ

 

 
เกียวโต สร้างขึ้นในปีค.ศ.794 ตามรูปแบบเมืองหลวงของจีนโบราณ ด้วยศักดิ์ศรีเมืองหลวงเก่าซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมญี่ปุ่นอันเรืองรองมานานถึง 1,100 ปี ดังนั้นสถาปัตยกรรมไม้แบบญี่ปุ่น รวมถึงสถาปัตยกรรมทางศาสนา อย่างวัดวาอารามจึงงดงามทรงคุณค่า จนได้รับให้เป็นมรดกโลกมากถึง 17 แห่ง และอีกหนึ่งศิลปะที่ทรงอิทธิพลไปทั่วโลกก็คือการจัดสวนญี่ปุ่น

 

 
วัดในเกียวโตจึงมีสวนสวยๆ ให้เราชื่นชม บริเวณรอบวัดอัดแน่นไปด้วยร้านค้ายั่วยวนชวนเสียสะตุ้งสตางค์มากมาย ใครออกตัวแรงว่าไม่ชอบเที่ยววัดบอกเลยว่า คิดผิดคิดใหม่ยังทัน รายนามวัดสำคัญที่คนไทยเช็กอินบ่อยๆ ได้แก่ วัดทอง (Kinkaku-ji Temple) วัดที่ท่านโชกุนอาชิคางะ โยชิมิสึ (Shogun Ashikaga Yoshimitsu) หรือพูดให้คนไทยคิดภาพตามออกก็คือท่านโชกุนผู้ชอบแกล้งอิ๊กคิวซังนั่นไง ท่านอาศัยอยู่ในช่วงปีค.ศ.1358-1409 หลังเสียชีวิตลง ที่นี่ก็กลายเป็นวัดเซนทันที ภาพงดงามของวัดที่ปรากฏให้เห็นบนโปสการ์ดอยู่บ่อยๆ คือศาลาทองที่สะท้อนลงผิวน้ำในบ่อน้ำใสราวกระจกแก้ว ว่ากันว่าศาลาต้นแบบเดิมนั้นถูกเผาไปในปีค.ศ.1950 ผ่านไปเพียง 5 ปีก็สามารถสร้างขึ้นใหม่ให้เราได้ชื่นชมมาถึงปัจจุบัน

 

 
เตรียมจับกระเป๋าตังค์ไว้ให้มั่น เพราะคุณจะตื่นตาตื่นใจไปกับร้านค้ามากมายตาม ‘ถนนสายกาน้ำชา’ ตลอดทางที่จะเดินขึ้นสู่วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu Temple) หรือวัดน้ำใส ซึ่งถูกเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ (new7wonders.com) ถือเป็นมรดกโลกอันเก่าแก่กว่า 1,500 ปี ศาลาไม้หลังใหญ่ด้านในคือไฮไลต์หลักของวัด มีมุมระเบียงอันเป็นจุดชมวิวยอดฮิตสามารถชมความงดงามตามฤดูกาลของใบเมเปิลหลากสีและซากุระ ทั้งยังมองเห็นตัวเมืองเกียวโตได้ชัดเจนในวันฟ้าแจ่ม ภายในบริเวณวัดยังมี ศาลเจ้าจิชู (Jishu-jinja) ที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพโอะคุนินุชิโนะ มิโกะโตะ (Okuninushino Mikoto) เทพแห่งความรักและเนื้อคู่ ซึ่งมีกระต่ายเป็นผู้ส่งสาร เราจึงเห็นหนุ่มสาวญี่ปุ่นควงคู่กันมาขอพรให้รักยืนยง หรือคนโสดเช่นเราก็อดไม่ได้ที่จะไปสวดอ้อนวอนภาวนาให้สมหวังในรักเช่นกัน

 

 
คงเรียกว่ามาไม่ถึงวัดน้ำใสถ้าไม่ได้ลงมาต่อคิวรอรับสายน้ำ 3 สายที่ไหลลงมาสู่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นตัวแทนของความมีสุขภาพดี ธุรกิจร่งเรือง และสมหวังในเรื่องความรัก แต่ไม่มีใครคอนเฟิร์มสักทีว่า สายน้ำไหนดื่มเพื่ออะไร หลายคนเลยนิยมดื่มแบบปนกันสามน้ำ แต่ก็อีกนั่นแหละ ว่ากันว่าถ้าดื่มน้ำสามสายก็ถือว่า ละโมบโลภมาก ดื่มมากไปก็ไม่ดีอีกเช่นกัน แต่ถามเพื่อนคนญี่ปุ่นที่มาด้วยกันก็ได้คำตอบแบบไม่คิดอะไรมาก อารมณ์ว่า อยากดื่มเท่าไหร่ก็ตามสะดวก เพราะเขาเองก็ดื่มเพื่อดับกระหายเท่านั้นเอง!

 

 
ออกจากวัดแล้วหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับไปสักนิด สาวๆ ทุกนางต่างพุ่งไปยังร้าน Yojiya ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ดังข้ามชาตินั่นก็คือกระดาษซับมัน ซึ่งเริ่มต้นผลิตมาตั้งแต่ปีค.ศ.1920 มีคุณสมบัติโดดเด้งโดนใจสาวเกียวโตชั้นสูงคือการดูดซับน้ำมันบนใบหน้าได้ดีและไม่ทำลายผิวหน้า เทคนิคชั้นยอดอยู่ที่ความพิถีพิถันรีดกระดาษจนบางเฉียบ ร้านอาจหายากสักนิดสำหรับคนที่ไปครั้งแรก เพราะอยู่ในซอยเล็กๆ หลังถนนกาน้ำชาแต่เชื่อว่าไม่พ้นสายตาของนักช้อประดับโลกเช่นสาวไทยเป็นแน่ และถ้าใครติดใจในรูปแม่สาวตาตี่สัญลักษณ์ของ Yojiya ก็สามารถไปนั่งดื่มชาเขียวลาเต้ หรือหม่ำทีรามิสุหน้าตาประดิษฐ์เป็นแม่สาวนางนี้ได้ที่คาเฟ่ในแถบกิออนและอาราชิยามะได้ (www.yojiya.co.jp/english/cafe)

 

 
ไหนๆ ก็ช้อปปิ้งของฝากชั้นเลิศแล้ว มาถึงเกียวโตก็ไม่ควรพลาดร้านเทมปุระในบรรยากาศแสนหรูหรา ห่างจากวัดคิโยมิสึประมาณ 15 นาที ร้าน Tempura Endo Yasaka (www.gion-endo.com/english) เหมาะมากสำหรับการดื่มด่ำบรรยากาศสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นโบราณ เพราะที่นี่เคยเป็นสถานที่ดื่มชาระดับสูง เรียกว่าเป็นที่ปาร์ตี้ของสาวๆ เกอิชาเลยล่ะ รับรองว่า บรรยากาศคลาสสิคสุดๆ นอกจากอาหารซีฟู้ดสดอร่อยแล้ว ผักที่ทอดเสิร์ฟยังเน้นตามฤดูกาล ทั้งข้าวโพด มะเขือม่วง กุ้ง ปลา ฯลฯ จุ่มแป้งบางๆ ทอดกรอบแล้วเสิร์ฟร้อนๆ ตรงหน้าจนต้องพูดว่า ‘อิทะดะกิมัส’ ขอหม่ำล่ะนะคะ

 

 
ถ้าอยากเห็นสาวเกอิชาหน้าขาวตัวเป็นๆ ต้องไปย่านกิออน (Gion) หลังหนึ่งทุ่มไปแล้วสาวงามผู้ขายงานศิลปะจะแต่งชุดกิโมโนหรูระยับ เดินกระฉับกระเฉงมุ่งสู่ร้านอาหารต่างๆ ในแถบนี้ แต่ที่เห็นกันส่วนใหญ่จะเป็นไมโกะ หรือเด็กสาวฝึกหัดเพื่อการเป็นเกอิชาเสียมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่จะอายุไม่เกิน 23 ปี เรื่องคิดขอถ่ายภาพคู่ให้ลืมไปได้เลย เพราะพวกนางเดินด้วยสปีดแบบไม่แคร์สื่อ หันหน้ากล้องไปถ่ายบ้านไม้เก่าสองชั้นที่เรียกว่า Machiya Style ที่สวยซึ้งราวกับหลุดเข้าไปในโลกยุคอดีตแทนจะดีกว่า

 

 
อีกหนึ่งศาลเจ้าที่ถ่ายรูปทีไรเป็นได้เกิดคือ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) สร้างขึ้นจากแรงกายของชาวนาในศตวรรษที่ 9 เพื่อบูชาจิ้งจอกที่เป็นทูตส่งสารของเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว ดังนั้นเราจึงเห็นรูปปั้นจิ้งจอกตั้งเด่นเป็นสง่าตรงทางเข้าวัด เส้นทางขึ้นเขานั้นยาวไกลถึง 4 กิโลเมตร และตลอดทางก็ประดับไปด้วยเสาโทริอิสีส้มสดใส มองเป็นมุม perspectiveเข้าไปจะได้อารมณ์เหมือนเข้าถ้ำสีส้ม เสาโทริอิเหล่านี้มีเหล่าพ่อค้าที่ค้าขายได้กำไรงามตามที่มาบนบานไว้เป็นสปอนเซอร์ และที่น่ารักก็ตรงแผ่นไม้เขียนคำอธิษฐานที่วัดทำเป็นหน้าของสุนัขจิ้งจอก ด้านหลังใช้เขียนคำอธิษฐาน ส่วนด้านหน้าให้คุณบรรเลงฝีไม้ลายมือวาดหน้าตาจิ้งจอกในจินตนาการได้เลย ไปยืนเปิดๆ ดูไอเดีย แต่ละคนบรรเจิดทั้งนั้น ยิ่งพอเห็นจิ้งจอกอินเดียนแดงก็ประทับใจจนต้องขอแชะรูปสักหน่อย

 

 
เช็กอินวัดเด็ดๆ กันไปแล้ว ปิดท้ายกับวัดที่อยากจะให้มาช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่สุด นั่นคือวัดโทฟุคุ-จิ (Tofukuji) วัดเซนที่มีขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกของเกียวโต มีอายุราว 800 ปี สร้างโดยขุนนางตระกูลฟูจิวาระ ชื่อของวัดได้มาจากการรวมกันของสองวัดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฟูจิวาระ นั่นคือวัด Todaiji และวัด Kofukuji โดยมีมุมยอดฮิตคือ สะพานทสึเทงเคียว (Tsutenkyo) ยาว 100 เมตร ซึ่งเชื่อมหุบเขาของต้นเมเปิลไว้ ยิ่งช่วงกลางถึงปลายเดือนพฤศจิกายน เมเปิลเปล่งสีแดงสวยยิ่งสร้างภาพชวนฝัน ราวกับอยู่ในโลกสีชาดอย่างไรอย่างนั้น

 

 
บรรพบุรุษชาวญี่ปุ่นผู้ชื่นชอบธรรมชาติแฝงความคิดในการชื่นชมใบไม้เปลี่ยนสีได้อย่างน่าชื่นชม เช่นการสอนให้เรามองชีวิตไปตามสัจธรรม การได้รู้จักชีวิตในวันงดงามคือภาพความทรงจำอันแสนมีค่า และหากยอมรับความจริงเมื่อถึงวันที่ร่วงโรยได้ด้วย นั่นล่ะคือสุดยอดแห่งการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด

 

 

 
เรื่องและภาพ: karina

 

 

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply