Let’s Talk About V เปิดทุกเรื่องราวพร้อมต้อนรับการกลับมาของ ‘วี วิโอเลต วอเทียร์’
หากย้อนกลับเมื่อหลายปีก่อน เราเชื่อว่าหลายคนยังคงจำเด็กสาวลูกครึ่งที่พกความฝันและบทเพลง ‘Leaving on a jet plane’ ขึ้นมาบนเวทีประกวดร้องเพลงที่วัดกึ๋นกันด้วยเสียงอย่าง The Voice พร้อมความสามารถในการขโมยหัวใจทุกสายตาที่จับจ้องไปด้วยบุคลิกและหน้าตาน่ารัก ‘จุงเบย’ ตามวลีเด็ดของโค้ชโจอี้บอย และนับตั้งแต่นาทีนั้นชื่อของ ‘วี วิโอเล็ต วอเทียร์’ ก็กลายเป็นที่รู้จักและพูดถึงอยู่เสมอมา
แม้ วี วิโอเลต จะแจ้งเกิดจากเวทีประกวดร้องเพลง แต่โอกาสมากมายที่เธอได้รับและถูกมอบให้พิสูจน์ตัวเองในฐานะคนบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทนักแสดงบนจอเงินในบท ‘เจ๋’ จากภาพยนตร์เฉียดร้อยล้านอย่าง ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ หรือ ‘ปริม’ ในซีรีส์ขึ้นหิ้งอย่าง O-Negative ที่ถูกนำมารีเมคใหม่ ไปจนถึงบทบาทดีเจเสียงตามสายของคลื่นเด็กแมว Cat Radio อาจทำให้ใครหลายคนลืมไปว่าสาวคนนี้คือนักร้องเสียงทรงเสน่ห์อีกคนหนึ่งของวงการ และวันนี้เราจะคุณไปพูดคุยพร้อมต้อนรับการกลับมาของซิงเกิ้ลล่าสุดอย่าง ‘ก็แค่ไมีมีฉัน’ ของ วี วิโอเลต วอเทียร์ กัน
เด็กช่างฝัน
“วีรู้ตัวเองตั้งแต่เด็กว่าอยากทำงานสายนี้ รู้สึกว่าเกิดมาเพื่อร้องเพลง แต่เมื่อก่อนไม่กล้าร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นนะแม้จะมั่นใจว่าเราร้องดีก็เถอะ ไม่งั้นคงไม่กล้าไปประกวดเดอะว๊อยซ์หรอก (หัวเราะ) คิดด้วยว่าจะได้เป็นนักแสดง เพราะเด็กๆ ชอบเล่นพ่อ แม่ ลูก แต่การเล่นของเราคือระดับดาราฮอลลีวู้ด ครีเอทคาแรคเตอร์จริงจัง มีนิสัยแบบนี้ ชอบแต่งตัวแบบนี้ เล่นมาแล้วทุกบทแล้วไม่ว่าจะสืบสวน หนังรัก หนังผี เจ้าบทบาทแต่เด็ก ”
พอโตมาก็ได้เป็นอย่างที่ฝัน และดูเหมือนว่าเป็นคนเจ้าบทบาทจริงๆ ทั้งนักร้อง นักแสดง ดีเจ ?
“ขอโทษที่ต้องบอกแบบนี้ แต่วีไม่เคยมองว่าการเป็นดีเจมันคืองาน เหมือนไปเจอเพื่อน ไปคลายเครียด สบาย ทำได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้คิดว่าจะไปทางนี้ให้สุด แต่สำหรับดนตรีและการแสดงมันคือแพชชั่น วีทุ่มเทและตั้งใจว่าอยากได้ดีด้านนี้ ซึ่งถ้าถามว่าชอบอะไรมากกว่ากัน เราเลือกไม่ได้เลย”
เสน่ห์ที่แตกต่าง
“มันคือศาสตร์สองขั้วอย่างการทำเพลงมันคือการสร้างตัวตนของเราขึ้น เพลงพูดสิ่งที่เราเป็น100% ส่วนการแสดงมันต้องสร้างคนๆ หนึ่งขึ้นมาแล้วเชื่อในสิ่งนั้น การกระทำ คำพูด ซึ่งมันดีนะเพราะเราไม่ได้ต้องการเป็นตัวเองตลอดเวลาหรอก มันเหนื่อยกับนิสัยบางอย่าง เป็นคนอื่นบ้างก็ดีเหมือนกัน”
นิสัยที่เหนื่อยกับตัวเองคืออะไร
“จริงๆ วีมีนิสัยอย่างหนึ่งที่ไม่ดีคือเป็นคนสติแตก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นร้องไห้ก่อนเลย ดีใจก็ร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ กลัวก็ร้องไห้ แต่จะไม่ทำต่อหน้าคนอื่นนะ ล่าสุดตอนทำเพลง ‘ก็แค่ไม่มีฉัน’ ก็สติแตกร้องไห้ไปบ่อยมาก”
เล่าให้ฟังหน่อยว่าตอนทำเพลง ‘ก็แค่ไม่มีฉัน’ เป็นอย่างไร
“จริงๆ เพลงนี้มีเกือบ 10 เวอร์ชั่น เพราะสติแตก (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นไม่ขำเลยนะ เหมือนว่าเราทำเพลงแล้วไม่เจอดนตรีที่ใช่ ทำแล้วแก้ๆ จนท้อแล้วเลิกทำไป 3 เดือน เวลาผ่านไปก็รู้สึกว่าโอเคเราพักผ่อนมามากพอแล้วถึงเวลาต้องเผชิญความจริง แล้วเราก็เริ่มใหม่จากศูนย์”
กลับมาครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะโตขึ้น
“เราหายจากการทำเพลงไปพักใหญ่ แน่นอนว่าโตขึ้น มีการทดลองดนตรีใหม่ๆ เช่นซาวด์อิเล็คโทรนิค แม้แต่เนื้อเพลงก็เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น บางครั้งคนเราเป็นแฟนกันก็ต้องการพื้นที่ มาถามว่าอยู่ไหน ทำอะไร ไปไหน จิกตลอดเวลาแบบนี้มันน่าหงุดหงิด แบบนี้วีไม่ชอบ ไม่ต้องการอยู่ในกฏเกณฑ์แบบนี้”
แสดงว่ามีอินเนอร์อยู่ในเพลงเยอะ
“เพลงนี้แต่งโดยพี่เย่ วง Slur พี่บิว Lemon soup แล้วก็วี ซึ่งมันก็มาจากเราเยอะนะ มาจากไอเดียของเราขึ้นมา”
ถูกใจเพลงนี้แค่ไหน
“เหมือนวีกำลังทดลองมากกว่า ใส่นั่นใส่นี่เข้าไปในเพลง เรียกว่าแนวอะไรยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ พูดว่าอิเล็คโทรนิคก็ไม่เต็มปาก เหมือนเป็นป๊อปแต่เพิ่มบางอย่างเข้าไป ยุคนี้มันเป็นยุคของการผสมกันของหลายๆ อย่างแล้วออกมาเป็นสิ่งใหม่ เหมือนวีกำลังผสมสีให้ตัวเอง ตอนนี้วีมองว่าตัวเองเป็นสีม่วงอ่อน มีกลิตเตอร์นิดนึง สะท้อนหน่อยๆ ประกายเล็กๆ ผสมสีขาวเข้าไป โห สวยเลย (หัวเราะ)”
ตอนนี้เรากำลังสนุก แต่ถ้าอีก 10 ปี ต่อจากนี้ล่ะคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำเพลงอยู่ไหม ?
“ตอนนั้นวีต้องกำลังเลี้ยงลูกอยู่ ลูกสาวด้วย”
เป็น Family Girl เหรอ
“คำว่าครอบครัวมันดีอะ ครอบครัววีอบอุ่นมาก โอเคอาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้แต่ความฝันสูงสุดของเราก็คือการแต่งงานมีลูกและเป็นแม่ที่ดี รู้เลยว่าเราจะต้องเป็นแม่ที่น่ารัก ใจดี แต่อาจจะน่ารำคาญนิดหน่อยเพราะตอนนี้เริ่มเห็นแม่เข้าสิงร่างตัวเองแล้ว เวลาบ่นหรืออะไร โอ้ย กลัวแล้วไม่อยากเป็นแบบนั้นเลย”
แล้วถ้าไม่ได้เข้าวงการบันเทิง คิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ?
“บอกแล้วว่าคิดว่าต้องเป็นนักร้องตั้งแต่เด็ก (หัวเราะ) ล้อเล่นก็คงทำงานอยู่แถวนี้ล่ะ เอเจนซี่ ครีเอทีฟ ไม่รู้เหมือนกันเพราะมันกลายเป็นวีไปแล้ว คิดไม่ออกว่าจะไปทำอะไร”
งั้นฝากอะไรถึงเด็กหญิงวีคนนั้นที่กล้าเลือกเส้นทางนี้หน่อย
“ขอบคุณ แล้วก็จะบอกขอให้เชื่อในตัวเอง เชื่อในสัญชาตญาณตัวเองนะวี”
หลังจากได้ฟังประโยคทิ้งท้ายคมๆ แล้ว เราเชื่อว่าแฟนคลับหลายคนก็คงรู้สึกขอบคุณเธอที่เชื่อในสัญชาตญาณตัวเองตั้งแต่วันนั้น จนทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักกับนักร้อง นักแสดง ดีเจ และสาวน้อยผู้เปี่ยมไปด้วยความฝันที่ชื่อ ‘วี วิโอเลต วอเทียร์’ เช่นกัน
เรื่อง : ธีรดา พินธุโสภณ
ภาพ: ไชยวัฒน์ ไชยโชติ
Leave a Reply
Want to join the discussion?Feel free to contribute!