คุยกับ WAii ในวันที่เรียนรู้ที่จะอยู่กับเสียงบูลลี่ และพร้อมกลับมาให้ทุกคนตกหลุมรักอีกครั้ง
ตกหลุมรักขึ้นไม่ไหว
เธอใช่ไหมเป็นคนผลักฉัน
อย่ามาทำหน้าอย่างนั้น
นึกว่าฉันกลัวหรือไง
มีนัดร้องคาราโอเกะเมื่อไหร่ “ตกหลุมรัก” และอีกหลายเพลงติดหูของ หวาย ปัญญ์ธิษา เธียรประสิทธิ์ ก็ยังคงติดเป็นลิสต์เพลงในใจของใครหลายคนแบบไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย เรียกว่าทำนองขึ้นเมื่อไหร่เด็กกามิกาเซ่ทุกคนไม่พลาดร้องเพลงตามกันได้ทั้งเพลง
เป็นเวลา 14 ปีที่เราเติบโตมาพร้อมกับสาวน้อยแก้มป่อง พร้อมกับพัฒนาการในหลากหลายด้านของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการร้อง การเต้น หรือแม้กระทั่งรูปลักษณ์ ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดสนใจของใครหลายคน แบบที่เรียกว่าตลอดกว่า 1 ทศวรรษของการอยู่ในวงการบันเทิง หวายต้องรับมือกับเสียงบูลลี่ ทั้งที่หนักบ้าง เบาบ้าง มาโดยตลอด และไม่บ่อยครั้งนักที่หวายจะเปิดใจพูดถึงเรื่องที่สร้างบาดแผลในใจ แต่ในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็ทำให้เธอเติบโตและเข้มแข็ง จนกลายเป็นหวายในปัจจุบัน
NYLON ขออุ่นเครื่องการกลับมาของคอนเสิร์ตกามิกาเซ่ กับการพาไปคุยกับสาวน้อยมากความสามารถ คุยกันถึงชีวิตปัจจุบัน เรื่องราวต่างๆ ที่เธอได้เคยพบเจอ รวมถึงการที่ต้องต่อสู้กับการถูกบูลลี่ในอดีต ให้แฟนๆ หายคิดถึงกันก่อนจะไปตะโกนร้องเพลงในคอนเสิร์ตกันอีกครั้ง
อัปเดตชีวิตหวายตอนนี้
ตอนนี้หวายกำลังมีโปรเจกต์เยอะแยะมากมายเลย ไม่คิดเหมือนกันค่ะว่าเราจะได้มีโปรเจกต์เข้ามาเยอะขนาดนี้ เพราะส่วนตัวแล้วหวายออกมาจาก Kamikaze ได้ประมาณ 3 ปี แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะกลับเข้ามาในวงการร้องเพลงด้วยซ้ำ
คือตัวของหวายเองรักการร้องเพลงอยู่แล้วแหละ แต่ตอนนั้นเหมือนเรารู้สึกว่า เออ เราเป็นนักร้องตั้งแต่อายุ 13 ก็เลยถามตัวเองว่าเราลองไปทำอย่างอื่นดูบ้างไหม ใช้เวลาว่างกับงานอดิเรกของตัวเองมากขึ้น แต่พอใช้เวลานั้นไปทำให้หวายตระหนักได้ว่ายังไงเราก็ร้องเพลงเพราะมันทำให้เรามีความสุข ไม่ใช่ว่าร้องเพลงเพื่องานอย่างเดียว หวายก็เลยบอกคุณแม่เลยว่า เราลองมาทำเองสัก 2 เพลงไหม ตอนนี้หวายก็เลยมีเพลงเดี่ยวของตัวเองที่ถือเองกับมือ เป็นเพลงที่ชื่อว่า “กอดสุดท้าย” แล้วก็ “Fierce” นะคะ
ส่วนชีวิตช่วงนี้หวายอินกับการเล่นเกมมาก หลายคนอาจจะไม่รู้ เวลาเราว่างหรือเวลาเราอยากผ่อนคลาย เมื่อก่อนนี้หวายจะวาดรูปเพราะหวายรู้สึกว่ามันทำให้เราไม่คิดมาก แต่ว่าช่วงนี้หวายติด Animal Crossing มาก ติดมาหนึ่งปีแล้วค่ะ (หัวเราะ) การที่เราได้มีงานอดิเรกอย่างอื่น ทำให้เรารู้สึกว่า บางทีเราก็ควรที่จะแบ่งเวลาทำในสิ่งที่เราชอบด้วย
ดูเหมือนว่าหวายที่ทุกคนรู้จักผ่านสื่อ กับตัวหวายจริงๆ แตกต่างกัน
ใช่ค่ะ มากกกก (ลากเสียง) คือเพื่อนของหวายเองจะพูดตลอดทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน หรือเวลาคนถามเพื่อนหวายว่าหวายเป็นยังไง เพื่อนก็จะบอกว่าไม่เหมือนที่ทุกคนคิดเลย อาจจะเพราะหวายชอบแต่งตัวแบบนี้อะ แต่งตัวเปรี้ยวๆ เฟียร์ซๆ ตั้งแต่เด็ก คนก็เลยคิดว่าการที่เราแต่งตัวแบบนี้เราอาจจะมีบุคลิกที่แรง ที่น่ากลัวหรือเปล่า ไม่กล้าเข้าหา แต่จริงๆ แล้วเป็นความชอบส่วนตัวมากกว่าที่เราชอบแต่งตัวสไตล์นี้ มันไม่ได้หมายความว่าหวายแรงหรืออะไรเลย แต่ว่าก็ต้องยอมรับด้วยว่าเมื่อก่อนที่ทุกคนมีความรู้สึกแบบนี้ อาจจะด้วยเรื่องชุดก็จริง เรื่องลุคก็จริง แต่เวลาหวายไปสัมภาษณ์ค่ะ หวายเพิ่งเคยกลับไปดูสัมภาษณ์ของตัวเองเมื่อก่อนนะ แล้วเห็นว่าเรามีความมั่นใจมากเวลาเราพูดอะไรบางที เหมือนเราไม่ได้นึกถึงผลกระทบจากคำพูดของเรา หรือเราไม่ได้มองว่าการที่เราพูดออกไปมันไม่น่ารัก ไม่น่าเอ็นดูหรือเปล่า คือเราแค่ห่วงความรู้สึกเราในตอนนั้น ซึ่งตอนนี้เราโตขึ้นมาในวงการบันเทิงทำให้รู้สึกว่าบางทีมันก็มีวิธีอื่นที่จะพูดออกมานะ
เราก็ยังเป็นตัวของตัวเองนะ แต่ความมั่นใจที่เคยมีหวายยอมรับว่ามันลดลงไปมาก เพราะว่าเรารู้สึกว่าการที่เรามีความมั่นใจเยอะๆ มันกลายเป็นสิ่งที่อาจจะไม่ดี.. หรือเปล่า การมีความมั่นใจมันเป็นสิ่งที่ดีนั่นแหละ แต่สำหรับตัวหวายมันเหมือนเป็นปมตอนนั้น เพราะรู้สึกว่าทุกคนโจมตีหนักมากในเรื่องที่เรารักในการเป็นตัวเอง พอเราอยู่ในจุดๆ นี้มันทำให้เรารู้สึกขี้กังวลตลอดเวลา ว่าเราจะทำแบบนี้ได้ไหม เราจะใส่แบบนี้ได้หรือเปล่า
อยู่ในวงการมา 14 ปี โดน Cyber Bullying มาตลอด จัดการกับการเรื่องเหล่านั้นอย่างไรบ้าง
คือเราต้องแยะแยะว่าคนเหล่านี้เขาหวังดีหรือไม่หวังดีกับเรา เมื่อก่อนหวายจะมองว่า ทุกคำติคือคำว่าหมดเลย อาจจะเป็นเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วคนชอบว่าหวายเรื่องรูปลักษณ์ แต่เราไม่เห็นมาติเรื่องผลงานของเราไง เราก็เลยแบบ เฮ้ย ทำไมอะ ทำไมมันถึง matter ขนาดนี้ เพราะสำหรับเรา เรารักในการที่เราเป็นแบบนี้ เราเป็นตัวของตัวเองมาก
แต่พอโตขึ้นมาเหมือนว่า เราก็ยังเป็นตัวของตัวเองนะ แต่ความมั่นใจที่เคยมีหวายยอมรับว่ามันลดลงไปมาก เพราะว่าเรารู้สึกว่าการที่เรามีความมั่นใจเยอะๆ มันกลายเป็นสิ่งที่อาจจะไม่ดี.. หรือเปล่า การมีความมั่นใจมันเป็นสิ่งที่ดีนั่นแหละ แต่สำหรับตัวหวายมันเหมือนเป็นปมตอนนั้น เพราะรู้สึกว่าทุกคนโจมตีหนักมากในเรื่องที่เรารักในการเป็นตัวเอง หรือว่าเรื่องที่เราเลือกที่จะแต่งตัวแบบนี้ พอเราอยู่ในจุดๆ นี้มันทำให้เรารู้สึกขี้กังวลตลอดเวลา ว่าเราจะทำแบบนี้ได้ไหม เราจะใส่แบบนี้ได้หรือเปล่า แล้วมีอยู่วันหนึ่งเราตกใจมาก เพราะมิล่า (จามิล่า พันธ์พินิจ) พูดขึ้นมาว่า “จะคิดอะไรนักหนา ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ ทำไมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แกไม่เคยสนอะไรใครเลย ความคิดเห็นของคนอื่นยูไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ เกิดอะไรขึ้น” มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า เออ มันก็มีผลกระทบกับเรามากๆ จนถึงวันนี้เหมือนกันนะ
ในบรรดาเรื่องที่ถูกบูลลี่ เรื่องไหนเสียใจที่สุด
หลายอย่างอะ …มันทุกอย่างเลยนะที่จริง เอางี้ดีกว่าหวายไม่ชอบคนที่ไม่เชื่อเราอะ เวลาไปพบคุณหมอเขาก็บอกว่าเราเป็นคนที่มีทริกเกอร์ในเรื่องนี้มาก เรารู้สึกว่าคนไม่เชื่อเรา ทำไมเราบอกไปแล้วไม่มีใครฟังเรา ไม่รู้ว่าทุกคนสังเกตกันไหม แต่เวลามีเรื่องอะไรหวายจะพยายามออกมาแล้วเคลียร์ให้เห็นว่า เราไม่ได้เป็นแบบนั้นแบบนี้นะ แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นว่าทุกคนมองว่าเราเจตนาที่เราออกมาพูดถึงเรื่องนี้ไม่ดี ไม่ถูกต้องหรอก เราก็เลยแบบทำไมต้องขนาดนี้อะ ถึงจุดๆ หนึ่งหวายบอกตัวเองเลยว่าถ้าเราจะมานั่งคิดมากขนาดนี้เกี่ยวกับคนที่เราไม่รู้จัก เราน่าจะอยู่ไม่ไหวจริงๆ มันต้องเปลี่ยนทัศนคติ ก็เลยคุยกับคุณหมอประจำตัวว่าเรามีความกลุ้มใจในเรื่องนี้มาก แล้วเราไม่อยากยอมรับกับตัวเอง คุณหมอก็เลยบอกว่าทางที่ดีที่สุดก็คืออย่างที่บอกค่ะ ก็ต้องแยกแยะไปว่าคนกลุ่มนี้สิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือไม่จริง หรือว่าคำติดชมนี้จริงหรือไม่จริง ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราเอามาแก้หรือเอามาปรับปรุงตัวเองได้ เช่น เรื่องผลงานของเรา เรื่องเพลงของเรา เรื่องความสามารถของเรา อันนี้เราเข้าใจ เราเอามาปรับได้ แต่อะไรที่มันเกี่ยวกับ Body Shaming ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีแล้วแหละ อะไรที่กระทบจิตใจเรามาก เราก็ตัดออกไปเลย จะไม่ดูเลย
เมื่อก่อนหวายจะเป็นคนที่อ่านทุกคอมเมนต์ อ่านทุกกระทู้ มีใครส่งมาหวายอ่านหมด หวายห้ามตัวเองไม่ได้ คือขอสักนิด ขอเข้าไปดูนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้มันอยู่ในจุดๆ ที่หวายยอมรับเลยและหวายพูดได้เต็มปากเลยว่า หวายหยุดตัวเองได้แล้วจริงๆ มันเป็นความฟีลลิ่งที่เรารู้ว่าถ้าเรากดเข้าไปมันอาจจะมีอะไรที่ทำให้เราเสียใจ ไม่กดดีกว่า แล้วหวายไม่กดเลยจริงๆ แล้วมันช่วยเราเยอะมาก มันเหมือนจากที่เราเคยคิดอะไรที่มันไม่จำเป็นด้วยซ้ำ ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว อาจจะเป็นเพราะเราโตขึ้นด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นเราเข้ามาก็อายุ 13 เองค่ะ
เมื่อก่อนหวายจะเป็นคนที่อ่านทุกคอมเมนต์ อ่านทุกกระทู้ มีใครส่งมาหวายอ่านหมด หวายห้ามตัวเองไม่ได้ คือขอสักนิด ขอเข้าไปดูนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้มันอยู่ในจุดๆ ที่หวายยอมรับเลยและหวายพูดได้เต็มปากเลยว่า หวายหยุดตัวเองได้แล้วจริงๆ มันเป็นความฟีลลิ่งที่เรารู้ว่าถ้าเรากดเข้าไปมันอาจจะมีอะไรที่ทำให้เราเสียใจ ไม่กดดีกว่า
การเป็นสมาชิกในครอบครัวที่มีชื่อเสียงและมีพร้อม ทุกคนภายนอกมองว่ามีแต่ข้อดี แต่สำหรับหวายมีเรื่องที่รู้สึกว่าเป็นข้อเสียบ้างไหม
เวลามีคนมองเข้ามา หวายเข้าใจเลยว่าฟีลเดียวกับเรามองพวก Kardashian อะ ว่าแบบโห… ชีวิตดีมากเลย มีทุกอย่าง เสื้อผ้า หน้าผม บ้าน แต่นั่นทำให้เรารู้เลยว่าเขาต้องมีอะไรที่ทุกข์ใจเหมือนกัน หวายรู้สึกว่าถึงแม้ว่าเราจะยืนอยู่จุดไหน ก็จะต้องมีอุปสรรคอยู่ดี เหมือนตอนที่หวายเข้าวงการบันเทิง ทุกคนบอกว่าเป็นเพราะว่าครอบครัว เพราะว่าฐานะของครอบครัว คุณตา (ชรินทร์ นันทนาคร) ก็เป็นนักร้อง พี่แหวน (ปวริศา เพ็ญชาติ) ก็เป็นพี่แหวน อะไรอย่างนี้ค่ะ
แต่ตอนนั้นหวายจำได้เลย หวายบอกว่าถ้าหวายใช้คอนเนกชั่นจริงหวายไม่ไปอยู่แกรมมี่เหรอ (หัวเราะ) คุณตาก็อยู่แกรมมี่ พี่แหวนก็อยู่แกรมมี่ เราถึงเลือกที่จะมาอยู่อาร์เอส จริงๆ นะคะ เพราะว่าตอนนั้นค่ายติดต่อมา เห็นหวายร้องเพลงในคอนเสิร์ตของคุณตา ตอนนั้น 11 ปีเอง เด็กมาก พอติดต่อมาแม่ก็ปฏิเสธไปก่อน พอปีต่อมาก็ติดต่อมาอีกช่วงกำลังจะ 13 คุณแม่ก็เลยถามเรา เราก็บอกเลยว่าอยากมาก เพราะเรารักการร้องเพลงจริงๆ แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่อยู่โรงเรียนก็โดนบูลลี่เหมือนกัน มันเลยอยากทำอะไรที่ตัวเองรักแล้ว คุณแม่ก็เลยยอม พอเราไปออดิชั่น มันเร็วมาก เรามีความสุขกับการทำงานนั้นมาก ทั้งทีมงาน ทั้งเพื่อนๆ ทำให้เราแฮปปี้มาก แต่อย่างที่บอก พอเราปล่อยเพลงแรกของเรามา ตกหลุมรัก เพลงขึ้นท็อปชาร์ต เพลงได้อันดับหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นเราโดนติ มันก็เลยเสียใจมากตอนเด็กๆ
ร้อง “ตกหลุมรัก” ตอนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเริ่มชีวิตนักร้องไหม
ล่าสุดเพิ่งร้องไปเมื่อประมาณสองสัปดาห์ก่อน (เดือนมีนาคม) มีมินิคอนเสิร์ต หวายเป็นคนที่เวลาไปร้องมินิคอนเสิร์ตหรือไปงานไหน รวมไปถึงเวลาไลฟ์ร้องเพลง หวายจะเลือกร้องเพลง “ตกหลุมรัก” เป็นเพลงที่มีความหมายกับหวายมาก แบบ… มากจริงๆ มันอยู่ในช่วงเวลาที่หวายทั้งสูงที่สุดและหวายรู้สึกว่าเกือบต่ำที่สุดเหมือนกัน ในความรู้สึกของเรานะคะ มันทำให้เรารู้สึกว่าเพราะเรามีวันนั้นเราถึงมีวันนี้ ถ้าเราไม่ยอมปล่อยเพลงตกหลุมรักมันก็ไม่มีวันนี้จริงๆ
ความรู้สึกที่ร้องเพลงในตอนนี้กับตอนนั้นต่างกันมากนะคะ เมื่อก่อนมันคือความรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ว่านี่คือเพลงเรา เราร้องเพลงของเราเอง แต่ตอนนี้มันซึ้งมากกว่าค่ะ ทุกครั้งที่หวายร้องเพลงของตัวเองหวายจะนึกถึงเมื่อก่อน ถ้าไม่พูดถึงเรื่องบูลลี่นะ วัยเด็กของหวายดีมาก การได้อยู่กับเพื่อนกามิกาเซ่ทุกอย่างมันเพอร์เฟคมาก แต่มันแค่มีเรื่องผลกระทบของการถูกบูลลี่ มันทำให้เรารู้สึกดาวน์ ให้ให้เราไปโฟกัสกับความคิดแง่ลบ ทำให้หวายลืมและไม่นึกถึงความทรงจำดีๆ เลย แต่เดี๋ยวนี้พอหวายร้องเพลงกามิกาเซ่ เวลาเราร้องเราจะนึกถึงช่วงเวลาดีๆ แล้วทำให้เรามีความสุขมาก เหมือนเพื่อนก็จะรู้เวลาเราไปคาราโอเกะกันเอง หรือเวลา มิล่า แก้ว มาบ้าน ก็จะร้องเพลงกามิกาเซ่ ร้องเพลงตัวเองกัน (หัวเราะ)
ถึงจุดๆ หนึ่งหวายบอกตัวเองเลยว่าถ้าเราจะมานั่งคิดมากขนาดนี้เกี่ยวกับคนที่เราไม่รู้จัก เราน่าจะอยู่ไม่ไหวจริงๆ มันต้องเปลี่ยนทัศนคติ
ให้มองตัวเองกลับไปในตอนนั้น หวายแตกต่างและเติบโตมากขึ้นขนาดไหน
หวายว่าแตกต่างมาก เติบโตขึ้นมาก เรื่องความรับผิดชอบไม่ต้องพูดถึง รู้สึกว่ามีความรับผิดชอบมากขึ้นมากค่ะ ตอนเด็กๆ ทำอะไรไม่เป็นไรเลย ตอนนี้ก็ยังทำอะไรไม่เป็นเท่าไร แต่ว่าในเรื่องของการทำงานเรารู้ว่าเราต้องวางตัวยังไงมากขึ้น เรารู้ว่าต้องเข้าหาทุกคนยังไง รู้ว่าต้องใช้คำพูดยังไง เพราะบางทีเวลาหวายพูดอะไรเราไม่รู้จักความหมายในภาษาไทยของคำนั้น อย่างหวายชอบพูดว่าเรากลัว แต่จริงๆ ไม่ได้กลัวนะคะ มันเป็นความกังวลหรือว่าอาย แล้วทุกคนก็จะงงเวลาเราพูด แต่ตอนนี้หวายแยกแยะออกแล้ว ข้อดีก็มี ข้อเสียก็มี
หวายยอมรับเลยว่าตอนนี้หวายไม่มีความมั่นใจเท่าเมื่อก่อนเลย มันหายไปหมดเลยค่ะ แต่มันก็ทำให้เรารู้ว่าในวันนี้ ที่เรารู้สึกแบบนี้มันเป็นเพราะอะไร และมันทำให้เราอยากช่วยคนอื่น เพราะหวายรู้ว่ายังมีคนอื่นอีกที่เป็นแบบนี้แต่เขาไม่เข้าใจ แล้วก็อาจจะเด็กอยู่ด้วย ตอนเราเด็กเราก็มีแต่พ่อแม่ โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่หวายเข้าใจเรื่องนี้มาก แต่ถ้าตอนนั้นเรามีอีกสักคนที่เข้าใจหรือว่าเรามีหนทางที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็จะดีกว่า หวายเลยรู้สึกตอนนี้อยากช่วยคนอื่นในเรื่องนี้มากๆ
การเป็น Mentor ในรายการเฟ้นหา Girl Group นอกจากที่หวายได้สอนน้องๆ แล้ว ยังได้เรียนรู้อะไรจากน้องๆ บ้าง
หวายได้เรียนรู้หลายอย่างเลยจากการที่ได้อยู่กับน้องๆ หวายคิดว่าเราต้องมีความอดทนเหมือนกับที่เขาก็ต้องมีความอดทน มองจากภายนอกทุกคนคิดว่าน้องๆ ซ้อมกันหนักก็จริงๆ ทำไมเวลาขึ้นโชว์พี่ๆ เมนเทอร์ไม่กล้าติกันเลยนะ คือจะบอกว่า Behind the Scene น้องๆ เหนื่อยมาก มันเป็นการถ่ายที่โหดจริงๆ ซ้อมเหมือนกับศิลปินเกาหลีเลย หวายเห็นแล้วแบบสุดยอด เวลาติเราตินอกจออยู่แล้ว มีอะไรเราก็จะบอกน้องๆ ว่าพี่ว่าหนูควรแก้ตรงนี้นะ ทำตรงนี้ ใช้เป็นวิธีการพูดคุยกันมากกว่า และการที่ได้อยู่กับน้องๆ มันทำให้เรียนรู้อีกอย่างก็คือเรารักเด็กมาก คือเราทำงานกับเด็กแล้วไม่อยากกลับบ้าน เราสนุกอะ เราอยากอยู่ช่วยน้องๆ อยากติวน้อง เห็นน้องซ้อมเราก็อยากดู เราได้เห็นน้องตลอดเวลาแล้วก็รู้สึกว่า เฮ้อ นี่ลูกเรา (หัวเราะ) เรารักน้องมาก อีกอย่างที่ได้รู้คือไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องๆ เขามองเราเป็นไอดอลด้วย
หวายกับโปรเจกต์ 2021 ราตรี
พี่ๆ ทีมงานโทรมาหาคุณแม่ว่ามีโปรเจกต์ 2021 ราตรี สนใจไหม คุณแม่เลยรีบมาถาม ส่วนตัวแล้วตอนแรกหวายไม่มั่นใจนิดนึง เพราะ 2002 ราตรี เขาเป็นตำนาน แต่พอเรารู้รายชื่อของทุกคนเราก็เลยตกลงทำ คือมีทั้งมิลลิ พี่แก้ม มีบลอสซั่ม มีจิงจิง ตอนที่เขาเล่าคอนเซปต์ให้ฟังหวายรู้สึกว่ามันมี Protential สูงมาก แล้วหวายขอใช้คำว่าถ้าหวายไม่รับงานนี้คือเสียโอกาสสูงมาก ตัวหวายตอนได้เข้าไปประชุม ได้คุยกับทุกคนก็สนุกนะ มันได้แชร์ไอเดียกัน ได้เรียนรู้ในการทำงานทีมเวิร์คด้วยมั้งคะ ยอมรับเลยว่าหวายอยู่กามิกาเซ่มาตลอด หวายจะชินกับการทำงานกับเพื่อนๆ ในแก๊งนี้ จะไม่เอาเพื่อนคนอื่นเลย (หัวเราะ) คือไม่กล้าคุยกับใครที่ไม่ใช่เพื่อนเรา แต่การทำการแบบนี้ ตั้งแต่ “โนสนโนแคร์” ของพี่นิวพี่จิ๋วทำให้เราต้องเปิดใจ พูดคุยหรือแชร์ไอเดียกับคนที่ไม่ได้สนิทมาก เลยทำให้รู้สึกเหมือนปลดล็อคไปอีกอย่างหนึ่งเลย เมื่อก่อนเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้ แต่ช่วงหลังๆ เรามีปัญหานี้มาก เราจะไม่ค่อยกล้าเสนอความคิดเห็น เพราะกลัวว่าความคิดเห็นของเรามันอาจจะเป็นแนวของเราเกินไป พอเวลาประชุมกันเหมือนกับว่าทุกคนทำให้เรารู้สึกสบายใจมากๆ คอยถามว่าเราคิดยังไงนะ พี่นิวพี่จิ๋วจะถามตลอด น้องมิลลิก็จะถามตลอด ขนาดเป็นน้องนะ คงเห็นว่าเราไม่พูดอะ (หัวเราะ) ก็เลยถาม
2021 ราตรี เป็นค่ายใหม่ บวกกับมีน้องบลอสซั่มกับจิงจิงที่อาจจะไม่เคยได้ทำผลงานแนวนี้มาก่อน พี่ๆ เขาก็เลยโฟกัสให้ความใส่ใจและความสนใจกับพวกเราค่อนข้างสูง รู้สึกดีที่มีคนคอยช่วยเหลือเรา แล้วอย่างที่บอกว่าหวายปล่อยเพลงเองก็ไม่ได้ง่ายนะคะ มันมีสิ่งที่ดีมากๆ แล้วก็มีสิ่งที่ทำให้เราเสียใจมากๆ เพราะเราไม่รู้วิธีโปรโมต ไม่เคยจ่ายสปอนเซอร์ เราไม่รู้จริงๆ แต่เราลงทุนเองทุกอย่าง เสียไปหลายบาท ซึ่งเราก็แฮปปี้ก็จริงแต่เมื่อไหร่จะได้กลับคืน มันเป็นความกังวลแบบนี้ค่ะ แต่พอมาทำตรงนี้เราแฮปปี้กับการทำงาน ได้ทำเพลงที่ชอบ ได้ลองทำงานกับคนใหม่ๆ แล้วเราก็สบายด้วย มันเลยเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่หวายรู้สึกว่าเราก็ไม่จำเป็นต้องทำด้วยตัวเองทุกอย่าง ให้คนอื่นช่วยบ้างก็โอเคค่ะ
หวายยอมรับเลยว่าตอนนี้หวายไม่มีความมั่นใจเท่าเมื่อก่อนเลย มันหายไปหมดเลยค่ะ แต่มันก็ทำให้เรารู้ว่าในวันนี้ ที่เรารู้สึกแบบนี้มันเป็นเพราะอะไร และมันทำให้เราอยากช่วยคนอื่น เพราะหวายรู้ว่ายังมีคนอื่นอีกที่เป็นแบบนี้แต่เขาไม่เข้าใจ
ได้เป็นทั้งนักร้องเดี่ยวและศิลปินกลุ่ม ชอบแบบไหนมากกว่ากัน
ทุกคนต้องโกรธแน่เลยอะ เพราะเพิ่งมีแฟนคลับถามไปเอง แล้วคุณแม่กับแฟนคลับช็อคมาก …หวายชอบทำงานกลุ่ม ต้องขอบคุณเฮีย (สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์) คือหวายได้เป็นนักร้องเดี่ยวก็เพราะเฮีย พี่ชมพู (สุทธิพงษ์ วัฒนจัง) และพี่เอฟู (ณรงค์ศักดิ์ ศรีบรรฎาศักดิ์วัชรากรณ์) ที่เห็นความสามารถของเราในวันนั้น กับการเต้น My Humps (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าเห็นอะไรในตัวเด็กคนนั้น งงมาก ทุกคนบอกหวายว่า You’re so inter นะ พอได้เข้าค่ายก็ดีใจมากที่ได้ทำเพลงแนวนี้ แต่พอได้มาทำงานกลุ่ม เริ่มจาก Seven Days ก่อนเลย เรามีความสุขเพราะเราไม่ต้องอยู่คนเดียว ตอนเด็กๆ เราต้องทำงานคนเดียวตลอด เป็นการทำงานที่เหงามาก แล้วเราก็อยากอยู่กับเพื่อน อยากสนุก อยากมีคนที่เราคอยปรึกษา คอยแชร์ได้ พอได้อยู่ Seven Days เราได้ทำแบบนั้นอะ เราได้อยู่กับทุกคน มีคนคอยช่วยเหลือกัน แล้วหวายจำได้เลยว่าตอนที่รู้ว่าได้อยู่ในโปรเจกต์นี้หวายถามเลยว่าพี่แน่ใจเหรอ แนวนี้หรอ เพราะเป็นช่วงหลังจากเพลง “ยอมให้จับนะ” พี่เขาก็บอกว่าเชื่อพี่ หวายทำได้ พอเราได้ทำ พอเราได้ใส่ชุดเหมือนปลุกความหวานในตัวอะ หวายเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนมีความหวานอยู่ในตัวอะ แต่เราแค่ชอบความเป็นฮิปฮอป ความเป็น R&B มาก คือเข้าใจคนอื่นเลยว่าทำไมชอบโปรเจกต์นี้มากเพราะเราย้อนกลับไปดูเราก็ชอบตัวเราตอนนั้นมาก ไม่เคยพูดกับตัวเองแบบนี้นะ แต่ตอน Seven Days เราแฮปปี้ เรามองออกเลย เป็นความทรงจำที่ดีมากๆ ค่ะ
มองเห็นตัวเองในอนาคตเป็นอย่างไรบ้างคะ
มองไม่ค่อยเห็นอะ (หัวเราะ) ในอนาคตก็อยากจะเป็นตัวของตัวเองต่อไป อยากที่จะมีความมั่นใจในตัวเองเท่าเมื่อก่อน ดังนั้นเราก็จะพยายามทุกทางที่จะมีวันนั้นให้ได้ และเราก็จะทำทุกอย่างที่จะทำให้เรารู้สึกแบบเดิมได้อีกครั้งค่ะ
ผลงานตอนนี้มีอะไรบ้าง
ตอนนี้มีเพลง Firece ถ้าใครอยากเห็นหวายเต้นในโรงพยาบาลก็เข้าไปดูได้เลยนะคะ แล้วก็ที่สำคัญผมสีส้มด้วย แต่ถ้าอยากเห็นหวายเป็นเมอร์เมดก็เข้าไปดูเพลงกอดสุดท้ายได้เลยค่ะ มีโจรสลัดเป็นธามไทด้วยค่ะ ซึ่งเพลงนี้ก็ได้พี่กานต์ The Parkinson เป็นคนแต่งเพลงให้ด้วย ที่สำคัญนะคะตอนนี้มี 2021 ราตรี ฝากทุกคนด้วยค่า อ้อ แล้วหวายก็ฝากติดตาม VLOG ทางช่อง WAII SHE VLOGS ด้วยนะคะ mv เพลงก็อยู่ในช่องนี้เหมือนกัน เข้าไปติดตามกันได้ค่ะ
Interview : Nichkamon Boonprasert
Photography: Tanisorn Vongsontorn
Clothes: Laboutique, Milin, Prada
Accessories: Prada