east side story

สี่หนุ่มเอเชียสัญชาติอเมริกัน Far East Movement ก้าวผ่านการตกที่นั่งเป็นศิลปิน one-hit wonder มาได้อย่างลอยลำราวกับนั่งอยู่บนเครื่องบิน G6

 
เพลงอิเล็กโทรป๊อปสุดตื๊ดที่เนื้อหาไม่ได้พูดถึงอะไรนอกจาก ‘การเมาเหล้า’ ทะยานขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2010 และทำยอดขายดาวน์โหลดในสหรัฐฯ ได้ถึง 4 ล้านก๊อบปี้ ทั้งยังฮิตติดท็อปเท็นในหลายประเทศและเปิดให้ได้ยินทั่วทุกคลับที่อยู่บนโลกใบนี้ ณ นาทีนั้นทุกคนคงพร้อมใจกันตั้งคำถามว่า ‘สี่หนุ่มฮิปฮอปหน้าตาเอเชียพวกนี้คือใคร’ และหลังจากที่หลายคนทราบคำตอบแล้วว่าพวกเขาคือ ‘ฟาร์อีสต์มูฟเมนต์’ (Far East Movement) วงอิเล็กโทรฮอปจากลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ที่ความจริงแล้วเคยทำเพลงกันมาก่อนหน้านั้นสองอัลบั้มแต่เพิ่งมาดังสุดกู่จากเพลงนี้ คำถามต่อมาของทุกคนคงหนีไม่พ้น ‘มันจะเป็น one-hit wonder หรือเปล่า’

 

“พวกเราไม่คิดด้วยซ้ำว่าเพลงนี้จะดังออกไปไกลกว่าห้องนอนของเรา” เควิน นิชิมูระ หรือที่ทุกคนเรียกติดปากว่า เคฟ นิช หนุ่มฟรอนต์แมนของวงผู้มีเชื้อสายจีน-ญี่ปุ่น-อเมริกันเอ่ยปากกับ NYLON THAILAND ในการสัมภาษณ์แบบส่วนตัวที่ห้องรับรองในอิมแพ็คอารีนา ก่อนที่พวกเขาจะกระโดดขึ้นเวทีในเทศกาลดนตรี Sonic Bang อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า “ตอนที่เราทำเพลงนี้ เราแค่อยากเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตที่สุดเหวี่ยงในแอล.เอ. ประมาณว่าชวนเพื่อนๆ มาปาร์ตี้ที่บ้านแล้วเปิดแชมเปญในห้องนอนของแม่” เคฟเล่าต่อ เขาเสยผมทุกเส้นปาดเรียบไปด้านหลัง ใส่เสื้อเชิ้ตลายกราฟิกขาวดำ ติดกระดุมคอเม็ดบน แล้วสวมทับด้วยสูทสีเทาเข้ม “ตอนนั้นเราไม่คิดว่าคนทั่วโลกจะชอบเพลงนี้ เพราะเราแค่ถ่ายทอดมุมมองในการใช้ชีวิตของพวกเรา และไม่ว่ามันจะฮิตหรือเปล่า สุดท้ายแล้วมันก็คือเพลงที่เป็นเรา”

 

ถัดจากเคฟบนโซฟาหนังสีดำคืออีกสามสมาชิกที่เหลือ เริ่มจากสองหนุ่มเกาหลีสัญชาติอเมริกัน เจ-สปลิฟ (J-Splif) หรือเจ ชุง และโพรห์เกรส (Prohgress) หรือเจมส์ โรห์ ที่เติบโตในแอล.เอ. และเป็นเพื่อนก๊วนเดียวกับเคฟมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสกูล สามหนุ่มที่เกิดในปี 1984 เหมือนกันฟอร์มวงชื่อ Emcees Anonymous ขึ้นมาเพื่อตระเวนแสดงตามคลับในแอล.เอ. ในปี 2001 และเปลี่ยนชื่อเป็นฟาร์อีสต์มูฟเมนต์หลังจากนั้นไม่นาน ก่อนที่จะทาบทามหนุ่มเชื้อสายฟิลิปปินส์ ดีเจเวอร์แมน (DJ Virman) หรือเวอร์แมน โคเกีย มาเป็นสมาชิกคนที่สี่หรือดีเจประจำวงในอีก 7 ปีต่อมา แม้พวกเขาจะนั่งเรียงหน้ากระดานกันแบบครบทีม แต่เคฟกลับคุยจ้ออยู่คนเดียวตลอดการสัมภาษณ์ราวกับเป็นโฆษกของวง (ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นมาโดยตลอด)

 

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่สี่หนุ่มกลุ่มนี้มาเหยียบเมืองไทย ที่จะว่าไปก็มีแฟนเพลงของฟาร์อีสต์มูฟเมนต์อยู่ไม่น้อย พิสูจน์ได้จากโชว์ที่เขาขึ้นแสดงบนเวที Pow ที่มีคนดูแน่นขนัดและกระโดดโลดเต้นกันไม่หยุด “พวกเราได้ของขวัญที่แฟนๆ ทำให้เราเพียบเลย แฟนเพลงของเราเจ๋งมาก พวกเขาทำโน่นทำนี่ให้เราได้อย่างน่าเหลือเชื่อ” เคฟพูดถึงแฟนเพลงชาวไทย ตามด้วยการปล่อยมุกของเจ-สปลิฟว่า “เหมือนกับวงเรามีแผนกงานฝีมือเลยล่ะ”

 

หลังจากความสำเร็จอันล้นทะลักของซิงเกิล “Like a G6” ซิงเกิลถัดมาอย่าง “Rocketeer” ที่ร่วมงานกับไรอัน เท็ดเดอร์ จากวงวันรีพับลิก ซึ่งอยู่ในอัลบั้มเดียวกัน Free Wired ช่วยล้างอาถรรพ์ one-hit wonder ให้แก่พวกเขาด้วยการไต่สู่อันดับ 7 บนชาร์ตบิลบอร์ด จนทำให้ฟาร์อีสต์มูฟเมนต์กลายเป็นชื่อที่ศิลปินหลายคนอยากร่วมงานด้วย เห็นได้ชัดจากอัลบั้มล่าสุดของพวกเขา Dirty Bass ที่ร่วมฟีเจอริงกับศิลปินดังอย่างพิตบูลล์ โฟล ไรดา และจัสติน บีเบอร์ “เราเขียนชื่อศิลปินหลายคนบนกระดาษ โยนใส่หมวก เขย่าๆ แล้วก็หลับตาหยิบขึ้นมา” เคฟพูดถึงการเลือกศิลปินมาร่วมงานด้วยก่อนจะหัวเราะและบอกว่า “ผมพูดเล่นนะ” จนเราต้องแซวกลับไปว่า “มีชื่อมาไรอาห์ แครีย์ ด้วยหรือเปล่า” เคฟตบมุกว่า “มีนะ มีหมดทุกคน เรายังเคยหยิบชื่อไมเคิล แจ็กสัน ขึ้นมา และแบบว่า ‘อ้าว เขาตายแล้วนี่’” ทั้งสี่หนุ่มหัวเราะร่วนก่อนจะพูดเรื่องจริงว่า “ศิลปินหลายคนที่เราร่วมงานด้วย พวกเขาเป็นแฟนเพลงของเราอยู่แล้ว มีบางอย่างในงานเพลงของพวกเขาที่น่าสนใจและน่าจะเข้ากับแนวเพลงของพวกเราได้” เคฟเล่าว่าบ่อยครั้งที่การจับมือร่วมงานกันเกิดขึ้นที่หลังเวทีคอนเสิร์ตอย่างในกรณีของบีเบอร์ “บางทีเราเจอกัน ทักทายกัน ถ้าคุยกันถูกคอก็จะถามเลยว่า ‘เฮ้ มาทำเพลงด้วยกันไหม’ ‘เอาสิๆ’ จากนั้นอีกสามอาทิตย์เราก็ได้เพลงขึ้นมา” เคฟบอกว่ายังมีโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่หลายคนที่พวกเขาอยากให้มาช่วยแชร์เครดิตแต่ยังไม่มีโอกาส อย่างเช่นมาร์ติน แกร์ริกซ์ (Martin Garrix) และโชว์เท็ก (Shotek)

 

เมื่อช่วงกลางปีพวกเขาเพิ่งปล่อยมิกซ์เทปชื่อ Grzzly ซึ่งเป็นการนำเพลงในอัลบั้ม Dirty Bass มารีมิกซ์บวกกับเพลงใหม่อย่าง “The Illest” ที่ร่วมงานกับแร็ปเปอร์ ริฟฟ์ ราฟฟ์ และ “There Will Be No Rain” ที่ฟีเจอริงกับชาชาโจนส์ ซึ่งจะถูกรวมอยู่ในอัลบั้มใหม่ของฟาร์อีสต์มูฟเมนต์ด้วย “เราปล่อย Grzzly ออกมาเป็นทีเซอร์สำหรับให้แฟนเพลงได้ฟังกันไปพลางๆ จนกว่าอัลบั้มใหม่จะเสร็จ” และยังใจป้ำปล่อยให้ดาวน์โหลดกันแบบฟรีๆ “ตอนนี้เรากำลังเร่งมิกซ์เพลงกันเพื่อให้ได้ซาวด์ที่เจ๋งกว่าเดิม เรามีการทดลองอะไรใหม่ๆ เพราะทุกวันนี้ดนตรีเปลี่ยนไปเร็วกว่ายุคก่อนๆ ผู้คนเปลี่ยนซาวด์ที่ฟังทุกๆ สองสามเดือน แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะเราต้องทำงานให้เร็วขึ้น ถ้ามีไอเดียปุ๊บ คุณก็ต้องรีบไปสตูดิโอ แล้วทำเพลงออกมาให้เสร็จภายในสองอาทิตย์” โผรายชื่อของโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มใหม่มีตั้งแต่ รีลเดอะซาวด์เบนเดอร์ (Rell the Soundbender) เคทาวน์เชกกิ (KTown Shekki) จนถึงควินติโน (Quintino) “มันเป็นการสร้างสรรค์งานเพลงที่ล้ำมาก พวกเขาใช้โปรแกรมใหม่ๆ ทำงานกันได้เร็วมาก เราตื่นเต้นกันสุดๆ” แต่เคฟก็เปรยว่าคงอีกสักพักใหญ่กว่าที่เราจะได้ฟังอัลบั้มใหม่ของพวกเขา

 

บทเพลงที่หนุ่มๆ ฟาร์อีสต์มูฟเมนต์เล่นบนเวทีทำให้ปลายเท้าของคนดูลอยจากพื้นได้สูงแค่ไหน แฟชั่นการแต่งตัวสไตล์ฮิปฮอปแบบติดเนี้ยบของพวกเขาก็สร้างความตื่นตาให้กับแฟนๆ ได้ไม่แพ้กัน “ขอบคุณครับ” เคฟกล่าวเมื่อได้ยินคำชมเรื่องการแต่งตัวจากเรา “เราไม่มีสไตลิสต์คอยดูแล เราเลือกเสื้อผ้ากันเอง งานเพลงที่เราทำมีความใกล้เคียงกับสไตล์การแต่งตัวของพวกเราอยู่แล้ว มันเลยไปด้วยกันได้ดี” เคฟบอกว่าเมื่อพวกเขาทำเพลงเสร็จสักเพลง สิ่งที่ตามมาคือหน้าตาของเพลงนั้นที่เกิดขึ้นในจินตนาการ “มันคล้ายกับว่าบีตนี้น่าจะเป็นภาพของวันสุดเครียดในที่ทำงาน หรือท่อนฮุคนี้น่าจะเป็นวันที่กำลังเมาปลิ้นอยู่ในดิสโก้ จากนั้นคุณก็จะมองเห็นว่าต้องแต่งตัวยังไง เพลงและแฟชั่นมันตัดกันไม่ขาด” พวกเขายังร่วมออกแบบเสื้อยืดที่เขียนว่า ‘We So Mutha Fxxkin’ Ill’ ให้กับแบรนด์แฟชั่น Illest ซึ่งเพื่อนของพวกเขาเป็นเจ้าของ ทั้งยังแย้มให้ว่ากำลังร่วมกับแบรนด์โอลด์สกูลของญี่ปุ่นอย่าง X-Large เพื่อออกแบบเสื้อคอลเลกชั่นพิเศษ “แบรนด์ X-Large เป็นแบรนด์ที่วงบีสตีบอยส์ (Beasty Boys) เคยเป็นหุ้นส่วน และฟาร์อีสต์มูฟเมนต์ก็ได้แรงบันดาลใจจากวงนี้ เราเลยตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมงานด้วย และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับแฟชั่นจริงๆ”

 

การพูดคุยดำเนินมาจนถึงนาทีสุดท้ายที่ทั้งสี่หนุ่มต้องขอตัวไปเตรียมขึ้นแสดง ไหนลองอธิบายบทเพลงของฟาร์อีสต์มูฟเมนต์ให้ออกมาเป็นสามคำซิ เราทิ้งคำถามสุดท้ายให้ตอบเล่นๆ เคฟทำท่าครุ่นคิดอยู่ 3 วินาทีก็พูดออกมาทีละคำว่า “มูฟ-เมน-ทาลิตี” (Movementality) แล้วทุกคนก็หัวเราะลั่น… ได้ข่าวว่ามันเป็นคำเดียวกันนะ เคฟ

 
เรื่อง: ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์

ภาพ: ไชยวัฒน์ ไชยโชติ

ขอขอบคุณ: universal music thailand, bec-tero entertainment

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply