first scent that lasts

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เมื่อมีการพูดถึงน้ำหอม ชื่อของน้ำหอมหมายเลข 5 ย่อมต้องปรากฏขึ้นแทบทุกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเรื่องน่าแปลกที่ความนิยมซึ่งมักมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ อยู่เสมอกลับไม่เคยทำให้ชื่อและกลิ่นหอมของ ‘Chanel No.5’ จางหายไปจากผู้ที่หลงใหลในแฟชั่นและน้ำหอมได้เลย ซึ่งหากจะมีใครสามารถอธิบายถึงกลิ่นหอมที่เป็นอมตะได้จริง Chanel No.5 ก็น่าจะเป็นตัวแทนที่นิยามความหมายของน้ำหอมสุดคลาสสิกได้อย่างชัดเจน ผ่านทางขวดใสที่บรรจุเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งไว้ ผสานกับกลิ่นหอมที่ได้รับการปรุงผ่านยุคสมัยมาอย่างประณีตและมั่นคง

 

the origins

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1920 โคโค ชาเนล ได้พบกับเออร์เนสต์ โบซ์ เป็นครั้งแรก ประจวบเหมาะกับเป็นเวลาที่เธอกำลังสนใจอยากจะปรุงน้ำหอมที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงขึ้นมาสักกลิ่น จนกระทั่งอีกหนึ่งปีต่อมาโบซ์ได้คิดค้นและปรุงน้ำหอมขึ้นมาถึง 10 กลิ่น โดยเรียกเป็นหมายเลข 1-5 และหมายเลข 20-25 ให้กับชาเนล และกลิ่นที่เธอเลือกก็คือน้ำหอมหมายเลข 5 และใช้ชื่อเรียกว่า No.5 มาโดยตลอดจนเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง

กลิ่นหอมหมายเลข 5 ที่ชาเนลเลือกสรรมาให้เป็นน้ำหอมกลิ่นแรกของแบรนด์นั้น ใช้กุหลาบซึ่งเก็บเกี่ยวในเดือนพฤษภาคม และมะลิซึ่งเก็บเกี่ยวในเดือนตุลาคมเป็นหลัก นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการผสมกลิ่นน้ำหอม เพราะในเวลานั้น น้ำหอมจะถูกสกัดมาจากกลิ่นเพียงกลิ่นเดียวเท่านั้น อีกทั้งตัวขวดที่ได้รับการออกแบบมาอย่างเรียบง่าย ซึ่งแตกต่างจากน้ำหอมที่มีรูปลักษณ์อันหรูหราในสมัยนั้นอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นอีกครั้งที่ชาเนลได้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่แวดวงแฟชั่นและความงาม

 

the scent

ใช่เพียงเป็นการผสมผสานระหว่างกุหลาบเดือนห้าและมะลิเท่านั้น เพราะน้ำหอมหมายเลข 5 ยังได้ถูกแต่งแต้มให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นด้วยกระดังงา แซนดัลวูด เวติเวอร์ และวานิลลา ก่อนจะได้รับการพัฒนาเป็น Eau de Toilette ในปี 1924 โดยเพิ่มส่วนผสมของแซนดัลวูดในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้มีกลิ่นไม้หอมอบอวลยิ่งกว่า แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นหอมหลักที่สดชื่น ซึ่งได้รับความนิยมมาโดยตลอดเป็นเวลาเกือบ 6 ทศวรรษ และในปี 1986 ฌาคส์ โปลเก หัวหน้านักปรุงน้ำหอมก็ได้หยิบเอา Eau de Parfum เวอร์ชั่นเก่ากลับมาปัดฝุ่นเสียใหม่ด้วยการเพิ่มเบอร์เบิน วานิลลา ลงไปในเบสโน้ต

กระทั่ง 22 ปีให้หลัง โปลเกจึงได้รังสรรค์ Eau Premiére ซึ่งเป็นการถ่ายทอด Chanel No.5 ในแบบที่บางเบาและนุ่มนวลยิ่งขึ้น โดยเน้นที่กลิ่นหอมอ่อนละมุนของกระดังงาและสารสกัดจากมะลิบริสุทธิ์ ผสมผสานกันจนได้กลิ่นหอมคลาสสิกในแบบที่คุ้นเคยแต่ทันสมัยกว่า ซึ่งจากการเดินทางทั้งหมดเป็นเวลากว่า 90 ปี

ส่วนประกอบต่างๆ ในน้ำหอมนั้นยังคงเดิม หากแต่อาศัยการเพิ่มปริมาณและส่วนประกอบในสายพันธุ์ที่มีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น ทำให้กลิ่นที่ได้นั้นยังเหมือนเดิมแทบทุกประการ แตกต่างตรงที่ความเข้มข้น และนี่ก็คือเหตุผลที่หลายคนมองว่า Chanel No.5 คือตัวแทนของผู้หญิงที่มีเสน่ห์และความงามเป็นอมตะ

 

the design

โคโค ชาเนล เติบโตขึ้นมาในสถานรับเลี้ยงเด็ก เธอชอบมองออกไปนอกหน้าต่างที่ระเบียงสีขาว ซึ่งขอบหน้าต่างนั้นเป็นสีดำ และหากสังเกตที่กล่องของ Chanel No.5 จะเห็นได้ว่าความทรงจำในวัยเด็กของเธอนั้นได้ถูกสะท้อนและถ่ายทอดออกมาเป็นกล่องสีขาวขลิบขอบดำ คล้ายกรอบหน้าต่าง ส่วนขวดน้ำหอมนั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมเรียบง่าย และผ่านการเปลี่ยนแปลงแบบขวดบรรจุเพียง 6 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1921 ซึ่งหากลองมองดีๆ จะพบว่ารูปร่างของขวดมีลักษณะใกล้เคียงกับ Place Vendôme ส่วนฝาขวดนั้นก็ถูดตัดในลักษณะเดียวกับเพชร 26 เหลี่ยม เพราะอีกหนึ่งความหลงใหลของดีไซเนอร์หญิงผู้พลิกประวัติศาสตร์ก็คือคริสตัลยามต้องแสงไฟ

จึงกล่าวได้ว่าภายใต้รูปลักษณ์อันเรียบง่ายของน้ำหอมหมายเลข 5 กลับมีเรื่องราวและดีไซน์ที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ เสมอ

 

the stars

คงไม่มีใครลืมบทสัมภาษณ์ของหญิงสาวสุดเย้า-ยวนผู้เป็นตำนานอย่างมาริลีน มอนโร ได้ลงแน่ เพราะเมื่อถูกถามว่าเธอใส่อะไรนอน มอนโรตอบกลับแบบไม่ต้องคิดว่า “ฉันใส่อะไรนอนน่ะรึ? ชาเนล นัมเบอร์ไฟว์ ไงล่ะ” และนั่นอาจพูดได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่คนดังได้กล่าวถึงน้ำหอมในเชิงยั่วยวนจนส่งผลให้ผู้หญิงที่อยากจะมีเสน่ห์ล้นเหลือเช่นเดียวกับมอนโรต่างหันมาจับจองน้ำหอมหมายเลข 5 กันเป็นแถบ

จากนั้น ผู้คนต่างเฝ้ารอว่าใครกันจะเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับน้ำหอมกลิ่นอันเป็นอมตะขวดนี้ อันได้แก่ แครอล บูเกต์, แคเธอรีน เดเนอฟ, ออเดรย์ โตตู, นิโคล คิดแมน ฯลฯ และพรีเซนเตอร์ผู้ชายคนแรก แบรด พิตต์ ซึ่งล้วนแต่เป็นนักแสดงแห่งยุคที่มีความโก้หรู คลาสสิก เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และความสามารถทั้งสิ้น

 

เรื่อง: พรประทาน ชัยกรโกศล

ภาพประกอบ: ศุภศรา หงศ์ลดารมภ์ และอาทิตย์ เลิศลลิตกุล

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply