‘เจ้านาย-จินเจษฎ์ & มินนี่-ภัณฑิรา’ ศิลปินและนักแสดงรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตการทำงานเพื่อเข้าใจชีวิตส่วนตัว
เชื่อไหมว่ากว่า 10 ปีที่ทั้งสองคนอยู่ในวงการบันเทิงไทย ‘เจ้านาย-จินเจษฎ์ วรรธนะสิน’ และ ‘มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร’ ไม่เคยโคจรมาเจอกันเลย — แม้แต่งานอีเวนต์เดียวกันก็ยังไม่เคย
ถ่ายแฟชั่นครั้งเลยเป็นโอกาสพิเศษสุดๆ ที่ได้ทั้งสองคนมาเจอและร่วมงานกันเป็นครั้งแรก หลังจากได้แต่ฟอลอินสตาแกรมกันมายาวนาน
บทบาทหลักของมินนี่คือนักแสดงที่กำลังจะมีงานเพลงออกมาให้ฟังกันเป็นครั้งแรก เป็นเซอร์ไพรส์ที่มินนี่ยังไม่อยากบอกรายละเอียดมาก แต่อยากให้ติดตามกันเร็วๆ นี้ ในขณะที่งานหลักของเจ้านายคือการเป็นศิลปินที่รับงานแสดงมาแล้ว 2 เรื่อง และยังอยากจะลองงานแสดงอีก
ส่วนถ้าเป็นเรื่องของยีนส์ มินนี่บอกว่ากางเกงยีนส์ทรงแบ็กกี้เป็นไอเทมที่เธอใส่เป็นประจำ โดยมักจะหยิบมาจับคู่กับเสื้อคร็อป ส่วนเจ้านายบอกว่าเขากำลัง explore กางเกงยีนส์หลายๆ แบบเพราะรู้สึกว่าใส่แล้วช่วยทำให้ลุคเบาๆ ของเขาดูมีอะไรมากขึ้น และการถ่ายแบบครั้งนี้ก็ทำให้เขาเห็นเสน่ห์ของไอเทมยีนส์มากกว่าที่เคย
เราเลยชวนเจ้านายและมินนี่มาคุยกันเกี่ยวกับหลายเรื่องที่บังเอิญตรงกันบนความต่างของทั้งสองคนที่เป็นทั้งพี่คนโตของน้องๆ อีกสองคน ระยะเวลาที่ทำงานในวงการมา ไปจนถึงความคิดอีกหลายๆ เรื่องที่ทั้งคู่เก็บเกี่ยวจากการประสบการณ์ที่เจอในวงการและนำมาใช้กับชีวิตส่วนตัวด้วยหลายเรื่องถึงจะดูแตกต่าง แต่จริงๆ แล้วทั้งสองคนกลับมีอะไรคล้ายกันหลายอย่างโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้มาก่อน จึงไม่น่าแปลกใจที่การทำงานครั้งนี้ทำให้ได้เจอเคมีใหม่ระหว่างเจ้านายและมินนี่ที่นอกจากจะแมตช์กันจนได้ภาพแฟชั่นชุดยีนส์ที่ลงตัวในทุกลุคแล้ว เบื้องหลังการทำงานยังเป็นไปแบบสบายๆ เพราะทั้งสองคนเข้ากันได้ดีเหมือนรู้จักกันมานาน
เจ้านายกับมินนี่เคยติดตามผลงานของอีกคนกันบ้างไหม
เจ้านาย: ผมได้ดูที่เขาเล่นแนนโน๊ะและเรื่องอื่นๆ แต่เรามีเพื่อนที่รู้จักกันบ้างอยู่แล้ว
มินนี่: ตามเพลงเขาค่ะ ชอบเพลง ‘ดึกแล้วอย่าเพิ่งกลับ’ จำได้ว่า MV เพลงนี้เจ้านายจะเป็นฟีลผีแล้วยังไม่อยากให้ผู้หญิงที่อยู่ในบ้านกลับ
ถึงจะยังไม่เคยร่วมงานโดยตรง แต่จริงๆ แล้วเวลาดูผลงานการแสดงของทั้งคู่จะรู้สึกเหมือนกันตรงที่ทั้งสองคนแสดงออกมาแล้วจริง แล้วก็เป็นคนที่ใช้งานแสดงเพื่อให้เข้าใจมนุษย์มากขึ้นเหมือนกันด้วยเจ้านาย: ผมอยากเล่นอะไรที่ไกลตัว เพราะมันช่วยให้โตขึ้นในด้านการเป็นมนุษย์จริงๆ เอาสิ่งดีๆ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ เพราะคาแรกเตอร์ของผมไม่ได้เป็นคน outgoing ขนาดนั้น ฟีลลิ่งบางอย่างอาจจะไม่ครบ แต่พอเริ่มมารู้จักการแสดงก็รู้สึกว่า สำหรับมนุษย์คนหนึ่งมันมีหลากหลายอารมณ์นะ มีอะไรได้อีกเยอะมากที่เรายังไม่เข้าใจเหมือนกัน แล้วผมก็มองว่ามนุษย์เราต้องพัฒนาเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทองหรือทรัพย์สิน แต่เป็นการพัฒนาที่ทำให้เรามองอะไรได้กว้างขึ้น เพราะยิ่งเรามองได้กว้างขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เรานิ่งและควบคุมชีวิตได้มากขึ้น ซึ่งการแสดงมันช่วยผมมากๆ ในเรื่องนี้
มินนี่: หนูว่าอาชีพนักแสดงมันต้องฝึกวิเคราะห์คนตลอดอยู่แล้ว เพราะการที่เราจะไปเป็นคาแรกเตอร์แบบนั้นได้ เราต้องเข้าใจมุมมองของเขา เข้าใจพฤติกรรม เข้าใจในสิ่งที่เขาเคยเจอมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างปมในใจหรือเรื่องที่เขาเคยเจอมา พอได้ฝึกวิเคราะห์ตัวละครก็เลยกลายเป็นคนช่างสังเกตกว่าปกติ มันมีส่วนทำให้เป็นคนคิดมากเหมือนกัน แต่พอผ่านช่วงที่คิดมากมาแล้ว เรามองในแบบที่เข้าใจมากกว่า มองแบบไม่เอาตัวเองไปตัดสินเขา สมมติว่าวันนี้มีคนมาอารมณ์เสียใส่ ก็มองว่าอาจจะเป็นเพราะเขาเหนื่อย เลยคิดว่ามันช่วยให้เราเข้าใจเพื่อนมนุษย์มากขึ้นในแบบนี้
พูดได้ไหมว่างานแสดงและงานอื่นๆ ในวงการบันเทิงช่วยในชีวิตด้านอื่นๆ ของเราด้วยเจ้านาย: ใช่นะ เพราะตอนเด็กๆ ผมทำ [งานในวงการ] เร็ว อายุ 14-15 ก็ทำเต็มที่เลย พออายุ 21 ก็เป็นอีกเฟสหลังเรียนจบ แต่ก็ถือว่าทำมาไม่หยุดเลย จนบางทีแอบลืมคิดว่า เราได้เที่ยวเล่นเหมือนเพื่อนหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้ขาดขนาดนั้นหรอก แต่บางครั้งก็แอบมีคำถามบ้าง พอเราไปเล่นบทต่างๆ ก็ได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าจริงๆ ปัจจัยในชีวิตก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด มันมีหลายแบบ แล้วก็ไม่ได้ต้องเป็นแบบเดียวกับคนอื่น
มินนี่: ถ้าเริ่มนับจากที่แคสต์โฆษณา หนูก็ทำงานตั้งแต่ 14-15 เหมือนกัน หม่ามี้พาไปแคสต์งานเรื่อยๆ แคสต์เป็นร้อยกว่าจะได้งานแรก หนูว่าการที่ได้เริ่มทำงานเร็วทำให้หนูเห็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ เพราะได้เห็นว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วก็ได้เจอคนหลากหลายรูปแบบ ได้เจอผู้ใหญ่ที่น่ารักสอนหนูในหลายเรื่อง อย่างมุมมองการใช้ชีวิตให้มีความสุข หนูก็เลยรู้สึกว่าตัวเองโตเร็วกว่าคนวัยเดียวกันในระดับหนึ่ง เรียกว่า ‘แก่คน’ ละกันค่ะ
แล้วรู้สึกไหมว่า เราคิดเรื่องพวกนี้ได้เร็วกว่าคนวัยเดียวกันเจ้านาย: ทุกคนก็บอกว่าเร็ว แต่ผมก็พอรู้สาเหตุว่าเพราะผมทำงานเร็ว แล้วก็เจอแต่เด็ก ที่เจอแต่เด็กก็ไม่ได้เจอแต่ด้านดีๆ ของวงการ ด้านที่ทำให้สับสนอยู่ได้บ้างก็มีเหมือนกัน บางคนทำงานในวงการบันเทิงแล้วมองว่ามันเป็นไลฟ์สไตล์ แต่จริงๆ มันเป็นแค่บทบาทหนึ่งที่คนมองคุณอยู่ แล้วขึ้นอยู่กับคุณจะบริหารแบบไหน
การเห็นหลายด้านทำให้ผมกลัวการเป็นเด็กไม่น่ารักด้วย เพราะฟีลลิ่งนั้นมันมาอยู่แล้วกับงานตรงนี้ จะเป็นหรือไม่เป็นมันขึ้นอยู่กับความเป็นผู้ใหญ่ของเราด้วย แต่ช่วงนี้ก็ยังไม่อยากทิ้งเป็นความเป็นเด็กไปหมดนะ เพียงแต่เราต้องมีสมาธิกับการทำงานอาชีพนี้ แล้วมองว่ามันเป็นอาร์ต จะอาร์ตแบบไหนก็ตามต้องวางไว้ก่อน บางคนใช้อาชีพนี้เป็นไลฟ์สไตล์ เพราะอยากเป็นซูเปอร์สตาร์ อยากหล่อ อยากเฟี้ยว ซึ่งผมไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น แล้วโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่คอยเตือน ให้คุณแม่เอาลมพัดแรงๆ ข้างหลังสักที แล้วเตือนว่า อย่านะ (หัวเราะ)
ถ้าอย่างนั้นเจ้านายมองตัวเองว่าเป็นคนอาร์ตจัดเลยหรือเปล่าล่าสุดผมไปฟังคำสัมภาษณ์ของพี่เป้ อารักษ์ แล้วเขาบอกว่า เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีหน้าแปะอยู่ทุกสี่แยกตลอดไป มันต้องทำตัวให้เป็น ผมฟังแล้วชอบมาก รู้สึกว่าเจ๋งดี
เจ้านาย: ใช้คำว่าเป็นคนคิดมาก แต่ความคิดมากมันก็เลยไปได้ดีกับบางอย่างที่เรา explore แต่ส่วนที่มากไปก็ต้องคอยคุยกับเราคนรอบข้าง เพราะบางทีผมไม่ค่อยรู้ตัวเวลาผมเหนื่อยไป
แฟนก็ช่วยได้นะครับเวลาเป็นแบบนั้น ช่วยได้เรื่อยๆ เลย ไม่รู้ทำไม มีแฟนแล้วก็ใจเย็นลงได้เหมือนกัน (ยิ้ม)
อย่างที่เมื่อกี้บอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคน outgoing ขนาดนั้น แล้วตัวตนจริงๆ ของเจ้านายเป็นแบบไหน
เจ้านาย: ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นอินโทรเวิร์ต แต่เป็นคนต้องการเวลาอยู่คนเดียว แบบที่อยู่คนเดียวจริงๆ นั่งในห้องน้ำหรือที่ไหนก็ได้ที่ขออยู่คนเดียว ทุกวันจะต้องมีช่วงเวลานี้ บางครั้งก็พูดคนเดียว เตือนตัวเอง หรือซ้อมพูดไดอะล็อกบางอย่าง เพราะเป็นคนคิดมาก ชอบนึกสถานการณ์นู่นนี่ หลังๆ ก็ต้องบอกตัวเองว่า อย่าไปเวิ่นมาก อยู่กับปัจจุบัน ทำงานให้ดี
แล้วสำหรับมินนี่ที่คนมักจะนึกถึงคาแรกเตอร์น่ารักสดใส ตัวตนจริงๆ เป็นแบบนี้เหมือนกันไหมมินนี่: หนูขอสโคปว่าเป็นฟีล on-off ละกันค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน เราก็อยากเอนเตอร์เทนคนอื่น อยากให้ทุกคนอารมณ์ดี เลยเป็นแนวเอนเตอร์เทน ซึ่งถ้าถามว่าตัวจริงเป็นแบบไหน ก็เป็นแบบนี้ละ แต่ไม่ใช่ตลอดเวลา จะมีมุมที่ค่อนข้างอินโทรเวิร์ตอยู่เหมือนกัน ชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบเจอคนเยอะ เวลาเจอคนเยอะๆ ที่ไม่ใช่เวลาทำงาน บางทีจะปวดหัว ต้องแอบไปพักหน้าห้องน้ำอะไรอย่างนี้ คือหนูค่อนข้างแพนิกเรื่องคนนิดหน่อย แต่พยายามปรับเรื่องนี้อยู่ พยายามจอยๆ ไม่ต้องคิดเยอะมาก เพราะรู้ตัวว่าเป็นคนคิดเยอะเกิน
คนอื่นที่มองมาจะคิดว่า คนฟีลนี้ไม่คิดอะไรหรอก เพราะอย่างเวลาอยู่กับเพื่อน หนูจะเป็นตัวฮา ตัวส่งมุกเลย แต่พอเรื่องคิดมาก เราก็ต้องพยายามบอกตัวเองให้ก้าวข้ามตรงนี้ให้ได้
คิดว่าความเป็นคนคิดมากส่งผลอะไรกับเราอีกบ้างนอกจากที่บอกมา
เจ้านาย: ผมคิดมากไปจนลืมตัวเอง อันนี้หลายๆ คนบอก มันติดมาจากการเป็นพี่โตด้วยมั้ง เหมือนกับเราต้องเป็นแบบอย่างให้น้องๆ และคนที่เขาติดตามเรา ก็เลยรู้สึกว่าต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แรกๆ ก็เลยเกร็ง แต่จริงๆ เราก็ใช้ชีวิตปกติได้ ทำงานของเราไปเรื่อยๆ ตอนเด็กๆ ผมจะชอบคุย ชอบเม้าเพลินๆ แต่พอโตมาผมโฟกัสมากขึ้น มันก็ไปที่เรื่องการแสดงอีกว่าการแสดงทำให้ผมรู้สึกตั้งใจ ได้เจอโหมดที่ตัวเองเห็นว่า เราก็ทำอย่างนี้ได้เหมือนกัน
มินนี่เองก็เป็นพี่คนโต มีน้องอีก 2 คนเหมือนกัน มีนิสัยที่มาจากการเป็นพี่คนโตเหมือนกันไหม
มินนี่: มีค่ะ เป็นนิสัยที่เราก็ไม่ได้ชอบ เวลาอยู่กับเพื่อนเราจะไม่เป็นเลย อย่างความเจ้าระเบียบ เจ้าวางแผน มันคือพฤติกรรมของความเป็นพี่ เพราะน้องก็คือน้อง แต่ทั้งหมดหนูว่ามันคือความหวังดี หนูก็ไม่ได้ชอบตัวเองในคาแรกเตอร์นั้น แต่มันได้มาเองจริงๆ กลายเป็นเหมือนหนูมีลูกสองคนคือน้องชายกับน้องสาว (หัวเราะ) มันเหมือนเป็นภาวะผู้นำจำเป็น ไม่มีใครนำก็ต้องเป็นเราแล้วละ
เห็นในไลน์อัพของ gdh ครั้งล่าสุด เห็นมีน้องสาว (แฟร์รี่-กิรณา พิพิธยากร) อยู่ในรายชื่อนักแสดงนำด้วยมินนี่: ใช่ค่ะ หนูตื่นเต้นมาก อยากไปเชียร์น้องสุดๆ แต่หนูติดไป Tomorrowland ที่เบลเยียม หนูไปงานนี้ทุกๆ ปี มันเป็นงานที่สำหรับหนู หนูขอใช้คำว่า ‘ฟีลปลดแอก’ อยากทำอะไรก็ทำ อยากร้องเพลงอะไรก็ร้อง อยากเต้นแรงๆ ก็เต้น มันเหมือนสุดๆ ไปเลย ไม่ใช่ว่าปกติเราเก็บกดอะไรนะคะ แต่เป็นที่เราได้ปลดปล่อยความสนุกสุดๆ เพราะเราอยู่ในที่ที่มันฟรีมากๆ ทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีใครสนใจเรา เลยเหมือนได้ไปพักผ่อนอีกแบบ
จริงๆ แล้วหนูว่าทุกเวลาก็คือเวลาของเราอยู่แล้ว เรามีความสุขของเราได้ แค่ทริปนี้เราได้มีความสุขในอีกแบบ ปกติหนูจะชอบอยู่คนเดียว อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ก็เลยพาตัวเองไปเจออะไรใหม่ๆ ไปเจอผู้คนบ้าง
อยากรู้ว่าขั้นตอนในการทำเพลงของเจ้านายส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบไหน
เจ้านาย: มีหลายแบบมาก มีทั้งแบบนั่งเล่นกีตาร์ก่อนคนเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น อยู่ในห้องนอน นั่งในส้วมแก้ผ้าเล่นกีตาร์ก็มี (หัวเราะ) หรือว่าชวนเพื่อนสนิทมากๆ ที่เราเป็นตัวเองได้เต็มที่มาเลย 2-3 คน มีนักเขียนเพลงเฟี้ยวๆ สักคน มีพี่โปรดิวเซอร์อีกคนแล้วก็นั่งเคาะกันผมยังอยู่ในขั้นตอนการเรียนรู้ ถ้าเราหานักเขียน หาผู้กำกับมาทำ แล้วปล่อยเพลงเลยแบบไม่เรียนรู้ เราก็จะไม่เข้าใจรายละเอียดของมัน อาจจะตกหล่นในบางเรื่องได้ ผมอยากเข้าใจกระบวนการมากๆ
ก่อนหน้านี้มีช่วงที่เจ้านายบอกว่าทำงานไม่สนุกแต่ก็ผ่านมาได้ ตอนนั้นเป็นเพราะอะไรและมีวิธีจัดการอย่างไรผมว่าการทำเพลงมันมีความสุขนะ ถ้าพูดตรงๆ เลย เวลาเห็นคนชอบเพลงเรา เราก็ยิ่งดีใจ แต่ในพาร์ตที่เป็นการทำเพลง ผมชอบอยู่กับคนดนตรี ผมรู้สึกว่ามันเกิด magic บางอย่างเวลาที่ได้ทำเพลง ได้เห็นเวลาเริ่มจากกลอง มาเบส มากีตาร์ ทุกอย่างค่อยๆ ผสมกันออกมา มันไม่ได้ง่ายเลย ถึงได้อยากจะเรียนรู้ในทุกขั้นตอน แล้วก็ชอบอยู่กับคนเก่งๆ ด้วย เพราะทำให้ได้เห็นอะไรใหม่ๆ
เจ้านาย: ตอนนั้นทำงานแล้วรู้สึกว่าแต่งเพลงไม่ได้ แล้วก็ไปอิงกับการที่เพลงต้องดังตลอดเวลา ซึ่งจริงๆ มันก็ควรเป็นแบบนั้น แต่มันทำให้เกร็งไป ผมก็เลยลองทำแบบที่ชอบ โทรหาเพื่อนๆ ที่รู้จักเราจริงๆ ให้มานั่งแต่งเพลงด้วยกัน แล้วก็คุยกับพ่อเพราะพ่อจะเป็นคนปรูฟงานผม ผมบอกพ่อว่า ขอสักชิ้นสองชิ้นที่เป็นตัวเองเลย ไม่ต้องคิดอะไร ล่าสุดก็ปล่อยเพลงชื่อ ‘รัก’ อาจจะเงียบๆ หน่อย เป็นเพลงที่ปล่อยสนองนี้ดตัวเอง
แต่ตอนนี้ก็เพิ่งมารู้ว่า แฟนคลับดั้งเดิมของเราชอบเพลงแอบรัก พอเรามาทำตัวซ่า เขาก็มองเปลี่ยนไป เป็นอะไรที่เราต้องเรียนรู้ต่อไป เรารู้จากฟีดแบ็ก จากคอมเมนต์ เพราะว่าผมอ่านอยู่แล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แล้วก็ดูจากหน้างาน พอมาวิเคราะห์ก็รู้สึกได้ว่า ภาพที่เขามองเราคืออบอุ่น พี่ชายคนโต ถ้าเรา explore เรื่องการแสดงก็จะว้าว แต่ถ้างานเพลงมาแบบเฟี้ยว เขาอาจจะไม่ค่อยชอบกัน ก็ต้องปรับไป ซึ่งไม่ได้ฝืนนะ ผมเข้าใจ ผมมองว่ามันเป็นอาร์ตอีกแบบหนึ่ง เข้าใจว่าเข้าต้องการอาร์ตแบบไหนจากตัวเรา แล้วก็ทำออกมา ทำหลายแบบก็ได้ ดูว่าคนชอบแบบไหน เราก็จะปล่อยแบบนั้น แต่ขอมีความเป็นเรามาแซมให้เขารู้ว่าเราสนุกกับงาน
เราจัดการเรื่องเป็นคนคิดมากยังไงเจ้านาย: คิดมากไปก็ต้องหยุดคิด ซึ่งพูดแบบนี้คนจะบอกว่าก็พูดง่าย แต่ผมอยู่จุดนั้นมาแล้ว จุดที่เคยไม่เข้าใจว่าจะทำได้ยังไง แต่สุดท้ายก็บอกตัวเองว่าบางอย่างไม่ต้องไปแก้มัน ไม่ต้องไปคิด หรือบางอย่างในชีวิตมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เราแค่ทำตัวเราให้ดี แล้วจริงๆ เป็นคนชอบให้ทุกอย่างเป๊ะ พอแตกระเบียบแล้วรู้สึกว่าเดือดร้อนและเหนื่อย สมมติเดินเข้ามาในห้องก็อยากให้ทุกคนโอเคกัน ไม่ชอบ conflict อยากให้เป๊ะ เป็นห่วงทุกคน แต่ตอนนี้ก็พยายามมองว่ามันไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้น
ตอนช่วงเรียนจบใหม่ๆ แล้วมาทำงาน มีช่วงที่ผมนอยด์กับทุกอย่างไปหมด นอยด์เรื่องการเก็บเงิน การดูแลคนรอบข้าง คิดหมดว่ามันจะส่งผลอะไรบ้าง ถ้าเราทำส่วนนี้ของชีวิตไม่ดี ที่เบาลงได้เพราะคุยกับน้องๆ ได้มากขึ้น แล้วเหมือนพอเพื่อนๆ ทำงาน ตัวเองทำงาน ก็รู้สึกว่าโลกมันไม่ได้วุ่นวายอะไรขนาดนั้น เราอยู่ในเลนของตัวเอง ตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทำในสิ่งที่เราตั้งเป้าหมาย อย่างตอนนี้ก็ตั้งเป้าว่าอยากมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเอง รักดีไว้ครับ
ด้วยงานของเราที่มีคนคอมเมนต์ตลอดเวลา เรามอนิเตอร์เรื่องพวกนี้มากน้อยแค่ไหนและจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้อย่างไร
มินนี่: ก่อนหน้านี้เป็นคนคอยมอนิเตอร์คอมเมนต์ต่างๆ มาก แล้วคิดมาก ช่วงหลังหนูยังอ่านหมดเหมือนเดิม แต่หนูจะอ่านและใส่ใจในคอมเมนต์ที่เขาหวังดี อยากให้เราพัฒนาจริงๆ มากกว่า
ไม่อย่างนั้นมันปวดหัวมากเลย หรือบางคอมเมนต์ที่มาว่าเรื่องไม่ใช่เรื่อง บางทีหนูก็ไปตอบขำๆ อย่างสมมติถ้ามีคนมาคอมเมนต์แรงๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องจริง หนูก็ไปตอบกลับว่า หาาาาา เพราะพอเดี๋ยวนี้มองเป็นขำๆ ก็ขำได้
แต่ตอนที่ยังไม่มองว่าเป็นเรื่องขำ หนูเคยคิดมากจนไม่ออกจากบ้านเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนมองเราแบบนั้น ทำไมเขาคิดไปแบบนั้นได้ แต่ได้เพื่อนๆ กับครอบครัวที่ช่วยดึงหนูขึ้นจากหลุม คอยเตือนว่าคนที่มาว่าเขารู้จักหนูขนาดนั้นไหม เขารู้จักเท่าที่เพื่อนรู้จักหรือเปล่า แล้วทุกคนรอบตัวหนูก็ไม่ได้เป็นอะไร ยังรักหนูอยู่เหมือนเดิม ก็เลยมาถามตัวเองว่าแล้วเราเป็นอะไร เราแคร์ผิดจุด ใส่ใจผิดจุดเอง ทุกวันนี้ก็เลยกลับมาแคร์คนที่เขารักเรา ไม่อย่างนั้นเราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขยากแล้วเรื่องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หนูก็เรียนรู้เรื่องนี้เร็ว เพราะชีวิตมันสั้น คุณแม่หนูเสียไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เหลือแต่คุณพ่อกับน้องๆ ก็เลยรู้สึกว่า การมีอยู่ของหม่ามี้ตอนนั้นเราแทบไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย หลังจากนั้นเลยเห็นค่าของครอบครัวมากๆ เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีกันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนอยากทำอะไรให้เขาก็ทำเลย ไม่ต้องคิดว่าเดี๋ยวไว้ก่อน เพราะไว้ก่อนไม่มีอยู่จริง ทุกวันนี้ความสุขของหนูคือเรื่องครอบครัว มีคุณพ่อ มีน้องๆ ที่หนูให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าเขาแฮปปี้ก็คือหนูแฮปปี้ แล้วก็มีเรื่องได้ทำในสิ่งที่เรารัก
อย่างเจ้านายที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นคนในวงการบันเทิง เวลาเจอเรื่องแบบไหนบ้างที่จะไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่เจ้านาย: เราคุยกันได้เรื่องจริงๆ คุยแบบเปิดๆ กัน ตอนนี้ผมก็เข้าใจขึ้นว่าการเป็นผู้ใหญ่ก็คงยังอยากอยู่สำหรับพ่อแม่หลายๆ คนด้วยซ้ำ ผมก็เลยรู้สึกว่าเราต้องเป็นพาร์ตที่ทำให้เขาง่ายๆ เพราะทุกคนก็พยายามทำให้ดีที่สุด เวลาไปถามเขาก็จะถามแบบเป็นลูกเลย ไม่มีมุมมีเหลี่ยมอะไร ถามตรงๆ แล้วพ่อแม่ก็จะช่วยกรองให้ พ่อแม่ผมจะค่อนข้างปล่อยให้เจอเอง แต่จะดุมาก่อนเลย ดุแบบดุม้ากกก แล้วก็ให้เราไปลองดู
ตอนนี้งานแสดงของมินนี่มีเรื่องไหนที่กำลังถ่ายทำอยู่หรือใกล้จะฉายอีกบ้างหรือเปล่า
มินนี่: กำลังถ่ายทำค่ะ เป็นภาพยนตร์ เอาจริงๆ หนูคิดถึงภาพยนตร์มาก แล้วความที่เราเริ่มจาก ‘แสงกระสือ’ คนส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกหนูจากการเป็นกระสือสาย ซึ่งความตั้งใจจริงๆ ของหนูก็คืออยากมีผลงานที่ทำให้คนจดจำในชื่อใหม่ๆ บ้าง แต่ล่าสุดก็มีคนดูเรื่อง ‘นางทาสหัวทอง’ แล้วเวลาไปเดินห้างหรือเดินเล่นที่ต่างจังหวัดก็จะมีคนทักว่า นังแพร
หนูได้ประสบการณ์จากเรื่องนี้เยอะมาก หนูเคยกลัวคอเมดี้ เพราะเล่นดราม่ามาก่อน ชอบเล่นอะไรแบบลึกๆ ดิ่งๆ ชอบเล่นเป็นมนุษย์ แต่บทแพรคือทำทุกอย่างตรงกันข้ามกับที่มนุษย์ปกติทำ ความตลกก็เป็นความตลกร้ายของสถานการณ์ที่ตัวละครเจอนี้ด้วย ตอนแรกหนูเครียดมาก เพราะเราเป็นคนไม่คม ผู้กำกับที่หนูร่วมงานด้วยเขาอยากได้คนจังหวะคมๆ ฟีลปุ๊บปั๊บตบมุกโบ๊ะบ๊ะ แต่เราจะช้ากว่าคนอื่น คือตลกนะ แต่ตลกในจังหวะตัวเอง พอทำงานไปเรื่อยๆ เขาก็เริ่มรู้ว่า อ๋อ น้องมันตลก แต่ช้า ต้องให้เวลาน้องหน่อย
บอกได้ไหมว่าเรื่องที่กำลังถ่ายทำอยู่เป็นบทแบบไหนจากที่รู้สึกว่ายากแล้วก็เครียด แต่พอผ่านมันไปได้ก็เห็นว่า จริงๆ เราก็ทำได้นี่ เหมือนปลดล็อกตัวเองเหมือนกันว่า เราทำอะไรได้หลากหลาย
มินนี่: ยังไม่บอกดีกว่าค่ะ บอกได้แค่ว่ามีบู๊
แล้วมินนี่ถนัดบู๊หรือเปล่า
มินนี่: เรียกว่าพอไปได้ละกันค่ะ ตอนเด็กๆ หนูเรียนเทควันโด้ เรียนมวยไทย ก็เลยมีจังหวะของนักสู้ประมาณหนึ่ง ป๊าชอบเลี้ยงลูกแนวสอนให้ขี่มอเตอร์ไซค์ เล่นสกูตเตอร์ เล่นไอซ์สเก็ต อะไรที่โลดโผนเขาให้เล่นหมดตั้งแต่เด็ก หนูก็เลยเก่งเรื่องกีฬาซึ่งก็มาช่วยเรื่องบู๊ได้ค่ะ
แล้วของเจ้านายตอนนี้มีแพลนหรือเปล่าว่าต้องปล่อยปีละกี่เพลง หรือตั้งเป้าเกี่ยวกับงานเพลงไว้อย่างไรอีกบ้าง
เจ้านาย: อยากปล่อยปีละ 3 เพลง ตอนนี้ก็เริ่มขยายสาขาค่าย เข้าไปทำงานกับเพื่อนๆ พี่ๆ บางคน ปีนี้กับปีหน้าจะเริ่มไป feat. เพลงกับคนอื่นจากที่ทำกันเอง ยังบอกไม่ได้ว่ามีใครบ้าง ใช้คำว่า เพื่อนๆ ที่สนิทแล้วกัน มีหลายคนเลย แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่ามีใครบ้าง บอกแล้วเดี๋ยวเขาตีเอา (หัวเราะ)
ผมอยากมีอัลบั้มเล็กๆ ให้คนได้เห็นทิศทางกันชัดๆ เพราะว่าที่ผ่านมาปล่อยปีละเพลงตลอด แล้วก็กลับไปเรียน เป็นการประคองไปเรื่อยๆ ให้แฟนๆ หายคิดถึง แต่ตอนนี้พอทำงานเต็มที่แล้ว อาชีพนักร้องก็ควรอยู่ได้ด้วยความถี่ของมันแต่ถ้าเป้าหมายปลายทางเลยก็คือได้จัดคอนเสิร์ตใหญ่สัก 2-3 รอบ อยากมีคอนเสิร์ตใหญ่ อยากมีอัลบั้ม มันคงเป็นความฝันของนักร้องทุกคนเลยมั้งที่อยากไปให้ถึงจุดนั้น ส่วนที่เหลือผมว่ามันเป็นรางวัลมากกว่า เพราะสำหรับผมแค่มีคอนเสิร์ตใหญ่กับอัลบั้ม ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองการผ่านเซ็ตนี้ ทำเพลงฮิต คนชอบฟัง เพราะตั้งแต่ที่ทำ ‘คนละชั้น’ เราก็ทำด้วยความชอบ ถึงจะมีช่วงที่ทำเพราะห่วงตัวเลข ห่วงยอดวิวเยอะ ยอดวิวน้อย แต่พอมันมีเรื่องให้คิด ผมว่ามันก็ทำให้เราโตขึ้น แล้วก็ได้เจอแนวใหม่ๆ ด้วย ไม่อยู่ที่เดิม
ผมว่ายุคนี้มันต้องทำอะไรที่ตัวเองรู้สึก พอรู้สึกแล้วก็ทำไปเลย ถ้าช้าแล้วมาคิด มันไม่ทันเพราะยุคนี้มันไปเร็วมากเลย หลายๆ อย่างเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน ไอเดียนายทุนก็เปลี่ยน โปรดิวเซอร์ก็โตขึ้นกันทุกคน ก็เลยคิดว่าถ้ามันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราก็ต้องปรับไป แต่ก็รู้สึกว่ายังคงต้องทำจากความสนุกอยู่เหมือนเดิม ต้องทำด้วยความชอบ ต้องไม่เครียดกับมัน
__
Sponsored by Levi’s
Interviewed by Panicha Imsomboon
[Models]
Phantira Pipityakorn (Minnie) @mintira.q
Jinjett Wattanasin (Jaonaay) @jaonaay
__
[Style]
Stylist: Supavit Lerkneelawat
Asst stylist: Methinee tongfuang, Chitraphat Chaiwarachirakit
Make-up (Jaonaay): Thaksaphorn Pavarawiset
Hair (Jaonaay): Nattakorn Rangsimawong
Make-up (Minnie): Homeless_makeup
Hair(Minnie): Sittipong Metha
__
[Photography]
Photographer: Tanisorn Vongsonton
Assistant photographer:
Videographer: Santi Kaewboonmueng
Video Editor: Santi Kaewboonmueng
__
[Editorial]
Producer: Thunyares Phuboonrung
Project Coordinator: Wittawat Karpkert
Content Creator: Maytinee Teatananun
Project Manager: Pornnapat Suporn
Art Direction: Narin Machaiya, Anchisa Sukkaeo
Group Editor-in-Chief: Top Koaysomboon