ไข่มุก รุ่งรัตน์ : นักร้อง นางเอก กู้ภัย และลูกสาว ทุกบทบาทที่ต้องทำให้ดีที่สุด
เหนือความคาดหมายคือสิ่งที่สาวเสียงใส ไข่มุก-รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช ยกมาบรรยายถึงชีวิตของตัวเองในช่วงจังหวะนี้ เพราะจากนักร้องประกวดที่ไม่เคยหวังรางวัลและไม่เคยแม้แต่จะติดอันดับ กลับก้าวมาสู่การเป็นดาวดวงใหม่กำลังถูกจับตามอง ทั้งในฐานะนักร้องลูกทุ่งเลือดใหม่ผู้สร้างปรากฏการณ์เพลงลูกทุ่งสุดเท่ และนางเอกดาวรุ่งที่โด่งดังทันทีจากละครเรื่องแรก นอกจากเบื้องหน้ากับความสามารถที่ได้เห็นกัน NYLON จึงอยากพาไปทำความรู้จักกับเบื้องหลังในชีวิตจริงของเธอ ที่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เป็นสาวกรุงเทพฯ ที่มีความลูกทุ่งอยู่ในตัวสูงมาก
“หนูเกิดกรุงเทพฯ แต่พ่อกับแม่เป็นคนอีสาน พ่อเป็นคนอุบลราชธานี แม่มาจากอุดรธานี ฉะนั้นถึงแม้ว่าบ้านเราจะอยู่กรุงเทพฯ แต่ก็มีบ้านปู่ย่าตายายอยู่ต่างจังหวัด หนูก็เลยพูดอีสานได้ แต่เพิ่งมาพูดได้ตอนโตนะคะ เพราะตอนเรียนอนุบาล มีช่วงหนึ่งกลับไปอยู่บ้านนอกตอนปิดเทอม พอกลับมาเรียน คุณครูบอกกับแม่ว่า ‘คุณแม่ขารบกวนพูดภาษากลางกับน้องนะคะ ตอนนี้น้องพูดอีสานปนกลาง จนฟังไม่รู้เรื่องแล้ว’ ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็ไม่พูดอีสานกับหนูอีก เน้นให้พูดกลาง จนโตมาหนูเลยฝึกเอง คอยฟังจากป้าจากยาย แล้วค่อยๆ ซึมซับเอา แต่ก็ไม่ได้เป็นภาษาอีสานที่เป๊ะมาก บางทีอาจจะเพี้ยนๆ หน่อย เพราะไม่ได้ใช้ทุกวัน”
เห็นหน้าหวานๆ แบบนี้ ดญ.ไข่มุก เรียบร้อยแค่ไหน
“ไม่เรียบร้อยเลยค่ะ เพราะหนูโตมากับพี่ชาย พี่เล่นอะไรเราก็เล่นด้วย เข้าป่าเข้าดงก็เข้าด้วย ลุยๆ อารมณ์เหมือนลูกสาวกำนัน ขานี่ไม่เคยว่างเว้นจากรอยแผลเลย ทั้งตุ่มยุงกัด หกล้ม รอยขีดข่วน ลายพร้อยไปหมด แล้วก็ค่อนข้างดื้อเหมือนเด็กผู้ชาย แต่พอโตแล้วไม่ซนนะคะ เพียงแค่ยังเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ อยู่บ้าง โดยเฉพาะแกล้งเพื่อนนี่ชอบมาก อีกอย่างตอนเรียน ม.ต้น จะชอบเป็นผู้นำเทรนด์ ชอบทำอะไรที่เขาไม่ทำกัน ปั่นแปะนี่เริ่มเล่นก่อนใครเลย จนคนอื่นแห่มาเล่นตาม เรื่องแฟชั่นก็จัดมาก ชอบทำผมหยิกฟูๆ เอารองเท้าผ้าใบสีขาวไปจุ่มสีให้เป็นสีชมพูอ่อนๆ แล้วบอกคุณครูว่า ดันเอาไปซักกับผ้าถุงแล้วสีตก กระเป๋าสะพายที่เขามีให้ก็ไม่ใช้ เอาถุงผ้าใส่ของไปโรงเรียนแทน คือจะว่าเป็นคนแปลกก็คงแปลก แต่พอเราทำแล้วก็มีคนทำตามเยอะเหมือนกันนะ”
แล้วเริ่มประกวดร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไร
“ถ้านับตั้งแต่ประกวดงานโรงเรียนก็ตอน ม.1 จากนั้นก็เริ่มประกวดตามเวทีต่างๆ อย่างในห้าง ตามวัด หรืองานประจำจังหวัด ซึ่งเงินรางวัลสูง เราก็ไปแข่งด้วยเผื่อได้ แต่เอาเข้าจริงไม่เคยได้รางวัลอะไรเลย ไม่เคยเป็นผู้ชนะ แล้วตัวเราเองก็เบื่อมาก เพราะไหนจะเปลืองค่ารถ ต้องเสียเวลาหอบชุดขึ้นแท็กซี่ไปแต่งตัวอีก แต่ก็ทำเพื่อความหวังของแม่ เพราะแม่หวังว่าเราอาจจะชนะได้รางวัล แต่เราไม่หวังเลย เพราะรู้ตัวดีว่าไม่ได้อยู่แล้ว คือเราไม่ได้ร้องดีทุกวัน แล้วแต่ว่าวันนั้นเล่นเยอะหรือเล่นน้อย ถ้าพูดมากก่อนขึ้นเวทีก็จะเสียสมาธิ ซึ่งมักจะเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง เลยไม่เคยได้รางวัลกับเขา ต่างจากการแข่งในรายการทีวีที่เข้ารอบทุกรายการ”
รวมถึง The Voice Thailand ด้วย
“ใช่ค่ะ แต่ The Voice Thailand อาจจะด้วยความที่หนูตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องหาเงินให้แม่ให้ได้ ก็เลยมีแรงผลักดันสูง จนทำให้เข้ารอบและกลายเป็นที่รู้จัก บอกตามตรงว่าที่บ้านหนูลำบากมาก พ่อทำงานรับส่งขนมที่ยะลา ส่วนแม่เป็นแม่บ้านฝรั่ง รับทำงานเป็นจ๊อบๆ ทั้งทำกับข้าว รีดผ้า ทำความสะอาด หนูจึงคิดตลอดว่าทำยังไงถึงจะช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่ได้ ตอนเรียนก็ไปร้องเพลงที่ร้านอาหาร ได้อาทิตย์ละ 1,800 บาท และพยายามหาช่องทางอื่นๆ ด้วย เลยเข้าไปออดิชั่นใน The Voice Thailand ซึ่งก็นับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้หนูได้เป็นไข่มุกที่ทุกคนรู้จักอย่างทุกวันนี้”
ทำไมถึงเลือกมาเป็นนักร้องกับค่าย LOVEiS
“เพราะว่าหนูอยากทำเพลง แต่ค่ายอื่นที่เสนอมามีกรอบมีแนวทางของเขาอยู่แล้ว แค่เอาตัวเราเข้าไปใส่ ซึ่งหนูรู้สึกว่า ทำไมต้องไปเป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น พอมาคุยกับ LOVEiS เขาให้อิสระ ชอบอะไรบอกได้ อยากทำแบบไหนก็บอกเขา เลยตัดสินใจมาอยู่กับที่นี่ เป็นนักร้องลูกทุ่งคนแรกของค่ายเลย ซึ่งที่ผ่านมาหนูก็บอกกับเขาว่าไม่ทำลูกทุ่งที่เป็นเพลงช้าในแบบเนิบๆ นะ อยากได้อะไรที่มีจังหวะ มีความเป็นฟังก์ มีดนตรีแนวใหม่ๆ ฟังแล้วไม่น่าเบื่อ แต่ยังมีกลิ่นอายความเป็นลูกทุ่งอยู่ จนได้ออกมาเป็นเพลงแรก ‘ยัยโง่เอ๋ย’ ซึ่งหนูว่ามันสนุกมาก และยังมีเพลง ‘เดอนางเด่อ’ ที่ร้องกับนายนะ เป็นเพลงแร็ปที่ร้องสไตล์อีสานจ๋าเลย บางคนอาจจะมองจากเวทีประกวดแล้วบอกว่าเราเหมาะกับเพลงช้า ซึ่งจริงๆ ก็เป็นแนวที่เราถนัดและทำได้ดี เลยเอาไว้ประกวดเป็นไม้ตาย แต่ในชีวิตจริงที่ไม่ต้องแข่งขัน ก็อยากทำเพลงในสไตล์ที่เราชอบมากกว่า”
แล้วมาเป็นนางเอกละครได้อย่างไร
“ทีมงานละครเรื่อง ‘เสียงเอื้อนสะเทือนดาว’ เรียกไปแคสต์ บอกว่าอยากได้นักร้องจริงๆ มาแสดงเป็นนางเอก เลยนึกถึงเรา ตอนแรกหนูไม่กล้าเล่น แต่ด้วยความที่บทค่อนข้างใกล้ตัวจึงคิดว่าไม่น่ายาก พอไปแคสต์สิ่งที่เขาให้ทำคือ เล่าอะไรก็ได้แล้วร้องไห้ให้ดูหน่อย หนูเลยเล่าเรื่องแม่ เพราะพ่อกับแม่เคยเลิกกัน แล้วหนูอยู่กับแม่มากกว่า แม่คือคนที่เลี้ยงดูลูกๆ ถึงจะลำบากแค่ไหนก็ยังสู้ เราเองก็ต้องหาเงินช่วยแบ่งเบาแม่ตั้งแต่เด็ก พอเล่าเรื่องคุณแม่ก็เลยร้องไห้ออกมา”
เรื่องเกี่ยวกับแม่ที่เล่าตอนนั้นคือเรื่องอะไร บอกได้ไหม
“เป็นเรื่องที่หนูซื้อบ้านแต่แม่ไม่ดีใจ คือหนูตั้งใจมาตลอดว่าอยากเลี้ยงดูครอบครัวของเราให้ได้ พอมีเงินเลยซื้อบ้าน อยากให้ทุกคนมาอยู่ด้วยกัน ภาพที่คิดคือเราแอบซื้อบ้านให้แม่ พอไปบอกแม่จะต้องดีใจมากแน่ๆ แต่กลายเป็นว่า แม่ไม่ดีใจแถมยังโดนด่าด้วย เพราะว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ แล้วเราดันพาพ่อเข้าไปดูบ้านก่อน แม่ก็เลยรู้สึกว่าทำไมบอกพ่อก่อน แล้วฉันต้องอยู่บ้านเดียวกับพ่อเธอเหรอ ฉันไม่อยู่หรอก หนูก็เลยเสียใจ เพราะตอนนั้นเราเหนื่อยมาก อายุก็ยังไม่เท่าไร แล้วเหมือนไม่มีใครให้ปรึกษาเลย คิดเอง ทำอะไรเอง ปรึกษาแม่ แม่ก็ไม่เข้าใจในหน้าที่การงานเรา เลยรู้สึกเสียใจ พอได้เล่าได้ระบายออกมาก็ร้องไห้หนักมาก เพราะรู้สึกเสียใจจริงๆ”
แล้วทุกวันนี้สามารถดูแลแม่ ดูแลครอบครัวอย่างที่ตั้งใจไว้ได้หรือยัง
“ได้แล้วค่ะ แต่ก็ยังหวังว่าต้องได้ดีกว่านี้ ต้องดีแบบที่แม่ไม่ต้องไปทำงานเลย แต่ทุกวันนี้แม่ยังไม่ยอมหยุด เพราะกลัวว่าวันหนึ่งลูกอาจจะไม่มีงาน แล้วจะไม่มีอะไรซัพพอร์ต ท่านก็เลยยังทำงานอยู่ แต่ความตั้งใจของหนูคืออยากให้พ่อแม่อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องทำงาน ซึ่งพวกท่านไม่ยอม ยังอยากทำงาน หนูจึงทำได้แค่คอยซัพพอร์ต คอยดูแลเท่าที่ทำได้ และช่วยดูแลน้องชายที่ยังเรียนอยู่ ไม่ให้ท่านต้องเหนื่อยมาก”
พอได้มาเป็นนักแสดงแล้วชอบไหม
“บอกตามตรงว่าแรกๆ หนูไม่สนุกกับการแสดงละครเลย รู้สึกเครียด เพราะไม่เคยแสดงมาก่อน จนหลังๆ พอเริ่มเข้าใจว่าต้องทำยังไงก็ง่ายขึ้น แต่เวลาไปกองถ่ายหนูจะสนุกกับการได้ไปเจอเพื่อน ได้เล่นกับเพื่อนๆ มากกว่า เพราะพอสนิทกันก็เล่นกันได้ แกล้งกันได้ ถ้ารู้ว่าใครบ้าจี้ตรงไหน หนูจะแกล้งตรงนั้น ไม่ก็จิ้มก้นหรือรักแร้ไปเลย อย่าได้เผลอเชียว คนที่แกล้งแล้วสนุกก็อย่างพี่ไต้ฝุ่น (กนกฉัตร มรรยาทอ่อน) ที่จะติดคำว่าเ-็ดเป็ด แกล้งเมื่อไรพี่แกก็จะเ-็ดเป็ดตลอด แบบหยุดไม่ได้ หนูเลยแกล้งพี่ไต้ฝุ่นบ่อยที่สุด ส่วนพี่พอยต์ (ชลวิทย์ มีทองคำ) จะติดคำว่าอุ๊ยและเป็นคนชอบกรี๊ด เวลาตกใจเขาจะกรี๊ดดังมากหรือไม่ก็ตะโกนดังๆ แต่ถ้าเป็นหนูเวลาโดนแกล้งให้ตกใจจะ อ๊ะ สวัสดีค่ะ ก่อนเลย สุภาพมาก” (หัวเราะ)
ได้ข่าวว่าเป็นนางเอกเรื่องแรกก็ดังเลย
“อาจจะด้วยความที่เป็นละครเพลงลูกทุ่ง และหนูก็เป็นนักร้องอยู่แล้ว คนดูเลยเชื่อในตัวละครว่าเป็นนักร้องที่จากบ้านนอกเข้ามาอยู่ในเมืองกรุงจริงๆ ทำให้มีแฟนคลับเยอะขึ้นมากทีเดียว และยังเป็นแฟนคลับกลุ่มใหม่ คือกลุ่มเด็กน้อยระดับอนุบาลเลย อย่างเวลาไปงานหรือไปถ่ายรายการต่างจังหวัดก็จะมีเด็กๆ มาแย่งกันดึงเสื้อ พี่ดาวมาทางนี้ พี่ดาวมาทางนี้ เพราะเขาได้ดูละครแล้วชอบ จะเรียกเราว่าพี่ดาวตามในละคร ซึ่งในเพจของหนูมีเบอร์ผู้จัดการอยู่ ซึ่งชื่อพี่ดาวเหมือนกัน วันที่ละครออนแอร์จะมีน้องๆ กริ๊งกร๊างมาหาพี่ดาวทั้งวันทั้งคืน แต่ไม่รู้ว่าพอเขาได้เจอตัวจริงของเราแล้วจะผิดหวังไหมนะคะ เพราะในเรื่องเป็นสาวเรียบร้อย ซึ่งแตกต่างจากตัวจริงมาก ไปเจอข้างนอกคือ ตายแล้ว…ทั้งโก๊ะ ฮา แถมยังซุ่มซ่ามด้วย เวลาไปไหนแล้วไม่ทำของตกนี่คือไม่ใช่ไข่มุกตัวจริง”
ตกหลุมรักงานละครแล้วแบบนี้ จะเปลี่ยนทางมาสายนักแสดงเลยหรือเปล่า
“ยังไงหนูก็ยังเลือกที่จะร้องเพลงเป็นอันดับแรก เพียงแต่การแสดงช่วยให้เราต่อยอดในสิ่งที่รักขึ้นไปอีก และทำให้งานเราเยอะขึ้น เหมือนทั้งสองอย่างเกื้อหนุนกัน แต่ถ้าถามว่าชอบอะไรมากกว่า ก็ยังชอบชอบร้องเพลงมากกว่าอยู่ดี ส่วนงานแสดงจากที่ไม่คิดว่าจะชอบ เพราะกลัวว่าจะทำไม่ได้ ก็เริ่มชอบมากขึ้น เหมือนค่อยๆ เข้าใจว่า เออ…เราก็ทำได้นี่ แต่ไม่ได้คิดว่าตัวเองแสดงดีนะคะ ยังต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้ และพัฒนาไปเรื่อยๆ ค่ะ”
เห็นว่าไข่มุกเป็นอาสากู้ภัยด้วย
“ใช่ค่ะ เริ่มทำครั้งแรกตอนอายุ 18-19 เพราะเห็นคนอื่นทำแล้วเราก็อยากทำบ้าง คือหนูเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว หมาแมวก็แอบไปเก็บมาดูแลตลอด คงเป็นคนขี้สงสารมั้งคะ จนทุกวันนี้ก็ยังพยายามจัดสรรเวลาไปทำอยู่ แต่ด้วยงานร้องเพลงและงานแสดงที่ค่อนข้างแน่น หนูจึงเลือกทำในสิ่งที่เราทำได้ ตามเวลาจะเอื้ออำนวย อย่างการไปขุดศพไร้ญาติ ไปแบกร่างอาจารย์ ไปงานทิ้งกระจาดเทกระจาด บริจาคของ ทำแล้วก็รู้สึกดีเหมือนได้ทำบุญ ซึ่งเป็นการทำบุญที่เห็นเลยว่าเราได้ช่วยเหลือคนอื่นจริงๆ”