รู้จักกับ กลิ่นหนังสือ (Klinnangsue) ร้านหนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจการ Blind Date With a Book มากขึ้น

ปกติเวลาซื้อหนังสือสักเล่มจะเลือกดูกันจากอะไร? ปกหนังสือ เนื้อหาของเรื่อง หรือราคา เชื่อว่าหลายคนคงจะเลือกดูจากปกหนังสือก่อนเป็นอย่างแรก หลายคนคงจะเคยได้ยินว่า Don’t judge a book by its cover แต่อาจจะยังไม่มีโอกาสได้ลองเลือกหนังสือแบบที่ไม่เห็นปกหนังสือกันสักที วันนี้ NYLON ก็เลยอยากจะขอแนะนำ กลิ่นหนังสือ (Klinnangsue) ร้านหนังสือออนไลน์ที่ คุณเพชร เป็นผู้ดูแล และจะทำให้เห็นภาพของ Blind Date With a Book ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ได้อ่านคอนเซปต์ความน่ารักของร้านนี้แล้วอาจจะมีใครเอาไปเป็นไอเดียสำหรับของขวัญวันวาเลนไทน์ก็ได้นะ

จุดเริ่มต้นของกลิ่นหนังสือคืออะไร ทำไมถึงเลือกที่จะทำเป็น Blind Date With a Book

ร้านกลิ่นหนังสือนั้นมีจุดเริ่มต้นสองที่ค่ะที่แรกคือห้องสมุดโรงเรียนบ้านห้วยส้มป่อยอำเภอจอมทองจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่ที่เราได้ใช้เวลาอยู่ที่นั่นตลอด 4 เดือนเต็มในฐานะครูอาสาหลังจากเรียนจบใหม่ๆ หนึ่งในงานที่เราทำนอกจากการสอนปกติคือการเป็นบรรณารักษ์อยู่ที่ห้องสมุดโรงเรียนตลอด 4 เดือนมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นั่นเป็นที่ที่จุดประกายความหวังและความฝันของเรากับเด็กๆ เป็นที่ที่ทำให้เราอยากจะมีร้านหนังสือเป็นของตัวเองและเป็นที่มาของชื่อร้านด้วยค่ะ 

ที่ที่สองคือห้องสมุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ชื่อ The Reading Room เราไปเจอที่นี่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2561 และทางห้องสมุดจัดกิจกรรม Blind Date With A Book ให้ยืมหนังสือกลับมาอ่านได้จำได้ว่าเล่มแรกที่เราเลือกมาเป็นวรรณกรรมแปลแต่ก็แฝงปรัชญาจีนไม่ใช่แนวที่อ่านเท่าไหร่อ่านจบแล้วไม่ถึงกับชอบมากแต่กลับรู้สึกดีมากที่ได้ลองอ่านจนจบโดยไม่ตัดสินจากแนวของหนังสือหรือหน้าปกหลังจากนั้นประมาณครึ่งปีเราลาออกจากการเป็นครูที่กรุงเทพฯ และกำลังจะย้ายกลับน่านเราจึงใช้วิธีการแบบ Blind Date มาส่งต่อหนังสือของเราแต่ช่วงแรกเราไม่ได้มีความตั้งใจว่าจะทำเป็นร้านหนังสือออนไลน์แบบจริงจังจึงได้ให้ผู้อ่านที่สนใจเป็นผู้ตั้งราคาของหนังสือได้ตามที่ปรารถนาและประเมินค่าของหนังสือด้วยตัวเองช่วงนั้นสนุกมากค่ะ

แต่ว่าทำไปสักพักหนึ่งเมื่อหนังสือหมดแล้วและย้ายกลับมาอยู่น่านแล้วยังคงมีผู้อ่านเข้ามามาพูดคุยกับเราและอยากจะให้ร้านมีอยู่ต่อไปและตัวเราเองก็รู้สึกว่างานขายหนังสือเป็นงานที่สนุกมากเป็นงานที่ทำให้อยากจะตื่นขึ้นมาทุกเช้าเพื่อทำงานและการอยู่ที่น่านก็ตอบโจทย์ชีวิตของเรามากเราจึงเริ่มต้นทำร้านจริงจังช่วงปลายปี 2561 เป็นต้นมา

ทำไมถึงเลือกที่จะใช้ชื่อว่ากลิ่นหนังสือ

จริงๆเราผูกพันกับกลิ่นหนังสือค่ะมันเป็นกลิ่นที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่ได้กลิ่นผ่านจมูกเวลาได้ยินคำว่ากลิ่นหนังสือเรามักจะคิดถึงตัวเองตอนเด็กๆ ตอนนั้นที่นี่ (บนดอยแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน) ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ไม่มีสิ่งใดให้ความบันเทิงและเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจนอกจากบ้านโรงเรียนห้องสมุดสนามกีฬาและสวนตอนนั้นเราได้วิ่งเล่นอย่างเต็มที่สุขภาพแข็งแรงและได้อ่านหนังสือทุกวัน (จริงๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ) อืม…และคำว่ากลิ่นหนังสือยังทำให้เรานึกถึงเด็กๆ ที่ห้วยส้มป่อยด้วยค่ะมันผสมไปด้วยเรื่องราวที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้จึงได้เลือกใช้ชื่อร้านว่ากลิ่นหนังสือค่ะ 

กลิ่นหนังสือสำหรับคุณเพชรเป็นแบบไหน หรือให้ความรู้สึกแบบไหน

อย่างที่บอกว่ามันเป็นกลิ่นที่ลึกซึ้งกว่าที่ได้กลิ่นผ่านจมูกค่ะ ถ้าพูดถึงกลิ่นหนังสือของเรา มันมักจะเป็นกลิ่นเฉพาะตน และผสมปนเปไปด้วยเรื่องราว ทั้งเรื่องราวการเดินทางกว่าจะมาถึงเรา เรื่องราวของผู้สร้าง หนังสือเล่มนั้นขึ้นมา และเรื่องราวที่เรากำลังจะมีร่วมกับหนังสือเล่มนั้น เพื่อส่งหนังสือออกไปหาเจ้าของที่แท้จริง บางครั้งได้กลิ่นหนังสือเรานึกถึงตัวเอง บางคราวนึกถึงเด็กๆที่ห้วยส้มป่อย บางทีก็นึกถึงว่า หนังสือเหล่านี้จะเดินทางไปถึงใคร หรือมีใครกำลังรอเล่มนั้นอยู่ด้วยใจจดจ่อ และมีบ่อยครั้งที่ทำให้นึกถึงสำนักพิมพ์หรือนักเขียนที่บอกกับเราว่า ฝากหนังสือเล่มนั้นๆ ด้วย มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่น เบาบาง แต่ก็ทรงพลัง

ความสุขของการทำร้าน กลิ่นหนังสือ คืออะไร

เรียบง่ายมากค่ะ เหมือนความสุขตอนที่ได้สระผมตอนเช้า แล้วปล่อยให้ต้องแสงแดดอ่อนๆ จนผมแห้งไปเองอย่างไม่ต้องเร่งรีบ มันเป็นความสุขแบบนั้นเลย ไม่ได้มีนิยามที่ซับซ้อน เพียงเติมเต็มชีวิต จริงๆเราไม่เคยถามตัวเองแบบจริงจังมาก่อน จนกระทั่งคุณถาม การทำร้านกลิ่นหนังสือมันต่างออกไปจากงานอื่นๆ ที่เคยทำ คืองานอื่นๆ เรามักจะพยายามถามตัวเองว่าความสุขของการทำงานคืออะไร พยายามหาส่วนดีและความสุขเพื่อให้ตัวเองอยู่ทำต่อ แต่การทำร้านกลิ่นหนังสือ เราไม่เคยต้องตื่นมาคิดเลยค่ะ ว่าความสุขของการทำร้านคืออะไร จริงๆ มันก็ไม่ได้มีแต่ช่วงเวลาที่สุขนะคะ แต่แม้กระทั่งช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราก็ยังมีความรู้สึกอยากจะทำต่อ ยังสนุกที่ได้ทำร้านเป็นความสุขแบบนั้นค่ะ

ส่วนตัวเป็นคนชอบอ่านหนังสือไหม ชอบอ่านแนวไหน

ชอบอ่านมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ เราเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ (ชาวเขาเผ่าเย้า) หนังสือไม่ใช่ของหาง่ายในตอนนั้น โชคดีที่มีห้องสมุดโรงเรียน และเราขอพ่อกับแม่ซื้อหนังสือได้ตลอดเลยค่ะ รู้สึกว่าถูกตามใจในเรื่องนี้มาก และมันช่วยเรื่องทักษะการอ่านเขียนของเราได้ดีมากด้วย แนวที่อ่านจะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุค่ะ จากการ์ตูน เป็นนิยายขนาดสั้น นวนิยายขนาดยาว วรรณกรรมเยาวชน และช่วงหลังๆมานี้ชอบอ่านวรรณกรรมแปลจากญี่ปุ่นค่ะ ชอบโทนและบรรยากาศของเรื่อง 

แล้วหนังสือที่นำมาลงขายเป็นหนังสือแนวไหนบ้าง

มีหลากหลายแนวค่ะ วรรณกรรม นวนิยาย บทกวี เรื่องสั้น ฯลฯ 

ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกหนังสือมาลงขาย

กลิ่นหนังสือไม่มีเกณฑ์ตายตัวในการเลือกหนังสือมาขายค่ะ เราขายทั้งหนังสือในกระแสและนอกกระแส  จะใหม่หรือเก่า เป็นหนังสือดังหรือไม่ดัง พอเอามาห่อแบบ Blind Date ก็ล้วนเท่าเทียม แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีอะไรบางอย่างที่เราชอบและเราเห็นว่าเหมาะที่จะส่งต่อไปถึงผู้อ่านเป็นสำคัญค่ะ การเป็นคนขายหนังสือนั้น ทำให้เราอยู่กึ่งกลางระหว่างผู้อ่าน และ คนทำหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นสำนักพิมพ์หรือนักเขียน มันทำให้เราได้เห็นสองมุม ทั้งหนังสือแบบไหนที่ผู้อ่านกำลังอยากจะอ่านช่วงนี้ เราค่อนข้างพูดคุยกับผู้อ่านหรือลูกค้าผ่าน Ask me a question ใน instagram บ่อย เกือบทุกๆ วันค่ะ เพราะเราไม่ได้มีหน้าร้าน เราจึงอยากจะสื่อสารกับคนอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด และได้เห็นทั้งมุมของคนทำงานที่ตั้งใจทำหนังสือออกมา ได้เห็นจุดมุ่งหมาย และสารที่อยากจะส่งต่อถึงผู้อ่าน บางทีเราก็เลือกหนังสือจากตรงนี้ค่ะ 

หนังสือทุกเล่มที่ลงขาย ได้อ่านครบทุกเล่มเลยไหม

ไม่ครบทุกเล่มค่ะ แต่ได้ผ่านตาเล่มละนิดเล่มละหน่อย กลิ่นหนังสือนั้นที่จริงเล็กมากค่ะ เราแทบจะทำทุกอย่างในร้าน  พอเปิดเป็นร้านจริงจัง เวลาที่ได้อ่านหนังสือน้อยลง แต่ก็ยังถือว่ามีเวลาอยู่บ้าง ค่อยๆ ทยอยอ่านค่ะ 

ข้อความบนปกห่อหนังสือที่เขียนเอาไว้เป็นการย่อความจากการอ่านหรือย่อความจากปกหลังของหนังสือ

ข้อความบนปกห่อ มีบางครั้งที่คิดขึ้นเองให้สอดคล้องกับเนื้อหาของหนังสือ แต่โดยมากจะเป็นข้อความบางส่วนจากในหนังสือค่ะ ไม่ได้เน้นที่ปกหลังซะทีเดียว ช่วงหลังๆ มานี้คิดว่า ข้อความที่นักเขียนสรรสร้างขึ้น ย่อมส่งต่อไปถึงนักอ่านของเขาได้อย่างดีที่สุดอยู่แล้วค่ะ เราไม่จำเป็นต้องเขียนเติมเสริมแต่งอะไรเพิ่มมากนัก 

คิดว่าการเลือกซื้อหนังสือจากหน้าปกกับข้อความสั้นๆ ปกบนห่อแบบสไตล์ของกลิ่นหนังสือนั้นแตกต่างกันอย่างไร

ทั้งสองแบบก็มีข้อดีและเสน่ห์ในแบบของตนเอง หากเป็นหนังสือเล่มเดียวกัน ถ้าได้เดินเลือก ได้เห็นหน้าปกระรานตาก็สนุกดี แถมยังได้อ่านเรื่องย่อคร่าวๆ ที่ปกหลังก็ทำให้สบายใจไปได้หลายส่วนว่าเราชอบอ่านแนวนี้ แต่การเลือกข้อความบางส่วนจากในหนังสือมาเสนอแก่ผู้อ่านด้วยวิธีการแบบ Blind Date ก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ตื่นเต้น และหากชอบข้อความบนปกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ อย่างน้อยก็น่าจะอนุมานว่าจะชอบเนื้อหาข้างในเล่มไปด้วย จริงๆตั้งแต่ขายหนังสือมา พบว่าผู้อ่านหรือลูกค้าที่ร้านไม่ได้เป็นประเภทชอบเลือกหนังสือจากปกไปทั้งหมด แต่การได้ลองเลือกซื้อหนังสือแบบใหม่ด้วยวิธีการแบบนี้ ก็ตอบโจทย์ผู้คนยุคนี้ด้วย เหมือนวิธีการขายแบบนี้ ทำให้มีความรู้สึกว่าหนังสืออยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับผู้อ่าน และวิธีการขายและห่อแบบนี้ทำให้รู้สึกว่าหนังสือไม่ใช่ของขลัง แต่เป็นเหมือนของขวัญ ด้วยค่ะ บางคนก็ไม่ค่อยกล้าเข้าร้านหนังสือเพราะคิดว่ามีแต่คนชอบอ่านหนังสือเท่านั้น ที่จะอ่านหนังสือและเป็นหนอนหนังสือ แต่ Blind Date ทำให้รู้สึกเข้าถึงง่ายขึ้นค่ะ

เห็นมีหนังสือที่พรีออเดอร์แบบที่เห็นปก แตกต่างอย่างไรกับหนังสือที่ห่อปกบ้าง

ช่วงหลังมานี้ กลิ่นหนังสือเริ่มนำหนังสือแบบเห็นปกเข้ามาขาย ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างร้าน กับสำนักพิมพ์และนักเขียนค่ะ และเป็นความตั้งใจของร้านเองด้วย เนื่องจากเรามีแพลนที่จะเปิดเป็นร้านหนังสือที่มีหน้าร้าน และเรามีความต้องการจะขายด้วยวิธีการทั้งสองแบบควบคู่กัน เพราะฉะนั้นการลงขายหนังสือแบบเห็นปกบ้าง ก็เป็นความหวังว่าผู้อ่านที่ติดตามเราจะเกิดความคุ้นชินค่ะ ว่าเราไม่ได้มีเพียงหนังสือ Blind Date  หนังสือแบบเห็นปกของเราก็มีขายเช่นกัน แม้จำนวนปกจะไม่มาก แต่ก็ตั้งใจเลือกและคัดมาอย่างใส่ใจ เพื่อผู้อ่านค่ะ 

หนังสือเล่มที่ประทับใจที่สุดของร้าน

ไม่สามารถเลือกที่สุดได้ค่ะ 

บอกได้ไหมว่าเรื่องไหนขายดีที่สุด 

ในส่วนของหนังสือ Blind Date

ในอดีตคือ คุณหนังสือลำดับที่ 295  ข้อความที่เขียนไว้บนหน้าปกคือ “เราไม่ควรหลงรักนักเขียน” 

และ หนังสือลำดับที่ 822 “พรหมลิขิตมีอีกชื่อว่าจังหวะ”  

เป็นหนังสือนอกกระแสทั้งสองเล่ม แต่เมื่อห่อแบบ Blind Date แล้ว กลับเป็นเล่มที่ขายดีที่สุดค่ะ 

ส่วนที่ขายดี ณ ขณะนี้คือ 

หนังสือลำดับที่ 863 “ ถ้ามีเรื่องที่อยากเล่าละก็ ไม่ว่าตอนไหนฉันก็จะฟังนะ จะเล่าถึงเมื่อไหร่ ฉันก็จะฟัง” 

หนังสือลำดับที่ 1016 “เด็กหญิงยินยอมที่จะครอบครองความเศร้าไว้ตลอดไปเพียงผู้เดียว มากกว่าถูกเจือปนด้วยกำลังใจโง่เง่า หรือคำปลอบโยนจอมปลอม” 

หนังสือลำดับพิเศษที่ 3 “เธอพยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการกินพิซซ่าหนึ่งถาดและโคคา-โคลาหนึ่งลิตร​ ผ่อนส่งไปเรื่อยๆตามประสาคนกลัวเจ็บ​ กลัวศพไม่สวย​ พยายามมาเกินสิบปี​ พบว่านอกจากจะไม่ตายแล้วยังมีความสุขฉิบหาย​  ไม่เอาแล้วก็ได้ความรัก​ ถ้ามันยุ่งยากรุงรังนัก​ ก็ช่างแม่​ง ฟัค​ ยู​ เธอจะยัดห่าพิซซ่าให้ขาดสารอาหารไปพร้อมกับที่ขาดรัก”

หนังสือลำดับพิเศษที่ 010 “บนโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอนใบนี้ ฉันอยากเฝ้ามองมันไปพร้อมๆกับเธอตลอดไป” 

ส่วนหนังสือแบบเห็นปกที่ขายดีคือ อยู่แชร์เฮาส์กับเหล่านักเขียน (ผู้แต่ง Moonscape : นักเขียนอิสระ) 

และย่ำรุ่งอันยาวนาน (รชา พรมภวังค์ : สนพ.Shine Publishing) ที่มาเมื่อไหร่ก็หมดทุกเมื่อค่ะ

เคยมีลูกค้าทักมาให้ช่วยเลือกหนังสือบ้างไหม แล้วทางร้านใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการช่วยเลือกบ้าง

มีทุกวันค่ะ อย่างที่เคยบอกว่าเราสื่อสารกับผู้อ่านหรือลูกค้าทุกวัน และเราไม่ได้พูดคุยเฉพาะเรื่องหนังสือเท่านั้น ผู้อ่านสามารถแวะเวียนมาได้ทุกเมื่อทั้งช่วงเวลาที่สบายดี หรืออื่นๆ พูดคุยกับเราได้ทั้งทาง Line@ ของร้าน ทาง Dm instagram หรือผ่าน Ask me a question ใน instagram 

เราจะคอยทยอยตอบ ส่วนมากจะมาเล่าเรื่องราวของตัวเอง และบอกความต้องการว่าอยากอ่านหนังสือแนวไหน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเพื่อเยียวยาจิตใจ หนังสือเพื่อให้ลืมใครสักคน หนังสือเป็นของขวัญให้ตัวเองหรือคนที่รัก ฯลฯ เราจะเลือกให้ตามแนวที่ต้องการ แต่ท้ายที่สุดแล้วจะเลือกเล่มไหน เรามักจะให้ลูกค้า เป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองค่ะ 

ถ้าให้เลือกหนังสือหนึ่งเล่มสำหรับ NYLON Thailand

ขอเลือกหนังสือให้สองเล่มค่ะ ☺

หนังสือแบบ Blind Date ขอเลือก  “หนังสือลำดับที่ 1010”

“แม่มดเคยบอกว่า หากมีอะไรมากมาย อยากบอกใครสักคน เธอจะเลือกให้หนังสือ” 

หากเป็นหนังสือแบบเห็นปก ขอแนะนำ “อยู่แชร์เฮาส์กับเหล่านักเขียน” เป็นงานของนักเขียนอิสระ 

” เหนือสิ่งอื่นใด​ ฉันปรารถนาให้พวกเธอมีความหวัง​ ยามที่โลกมืดมนไร้หนทาง​ อย่าได้ลืมว่าเราเคยก่อกองไฟที่ยิ่งใหญ่ในสวนหน้าบ้าน​ อย่าได้ลืมเท้าเปื้อนโคลน​ กระโปรงปลิวลมและแขนขาที่เริงระบำให้แก่ชีวิต​ ”