ใครที่เหงาและอยากเลิกเหงาก็ต้องมา CRY เหงา ด้วยกันกับ NAP A LEAN หน่อยล่ะ

อยู่รวมวงกันมาหลายปีแล้ว ในที่สุดแฟนๆ ของวง NAP A LEAN ก็มีข่าวดีกันสักที เพราะ 4 หนุ่ม NAP A LEAN อย่าง โต้ – ธนพล ทองสวัสดิ์ (ร้องนำ), ฮั้ว – พิสิฐ สมบัติพินพง (กีตาร์), บาส – ปณิธิ สุขสายชล (เบส) และ ดอน – นภัสรพี ยาอินทร์ (กลอง) นั้นกำลังจะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวที่จะเป็นพื้นที่สำหรับแฟนๆ ทุกวัยให้ได้มาเจอกับพวกเขากันใน NAP A LEAN CRY เหงา CONCERT ที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 เมษายนนี้ ณ Voice Space แต่กว่าจะเดินทางมาถึงคอนเสิร์ตเดี่ยวในครั้งนี้พวกเขาก็ผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะพอสมควร วันนี้ NYLON ก็เลยขอชวนทุกคนมาคุยกับพวกเขากันว่า เส้นทางเพลงเหงาก่อนที่จะมาถึงคอนเสิร์ต CRYเหงา นั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง

เพลงล่าสุดเพิ่งที่เพิ่งปล่อยมา รักก่อนแพ้ อยากให้เล่าที่มาของเพลงนี้หน่อยว่ามีความเป็นมายังไง ทำไมถึงออกมาเป็นเพลงนี้

โต้ :  ที่มาที่ไปของเพลงนี้เหรอครับ เพลงนี้ผมแต่งไว้ประมาณ 2 ปีที่แล้ว แต่งแล้วก็ค้างเอาไว้ เราก็แต่งจากประสบการณ์ เหมือนลูกเจี๊ยบที่กำลังเติบโต ไม่ทันโลก บางทีเราไม่ทันคนว่า ที่เขาเข้ามาหาบางทีเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับเรา คือผมชอบแต่งเพลงจากเรื่องที่เจอเอง เวลาเจอแล้วเครียดหรืออึดอัดก็จะระบายออกมาเป็นเพลง เพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่เจอกับตัวเอง แต่งเพลงนี้ทิ้งไว้อยู่ประมาณ 2 ปี แล้วก็ไม่มีท่อนฮุค แต่งเก็บไว้แล้วก็ส่งให้วงฟัง จนถึงวันที่เราต้องทำอัลบั้ม แล้วเราก็มารื้อเพลงเก่าๆ ที่เราเคยได้เขียนทิ้งไว้ว่าจะเขียนเพลงไหนบ้าง วงก็ตัดสินใจว่าอยากจะทำเพลงนี้ก็เลยมาทำให้เสร็จเมื่อปีที่แล้วครับ นี่ก็เป็นที่มาที่ไปของเพลง รักก่อน…แพ้ ครับ

แล้วไอเดีย Music Video มาจากไหน ทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องผ่านแชท 

โต้ : เพราะว่ามันเป็นการสื่อความหมายของยุคปัจจุบันได้ดีที่สุดครับ ว่าถึงเวลาที่เราต้อรู้ตัวเองแล้วว่าเราคิดไปเองมันมีวิธีการสื่อแบบไหน คนที่เขาทำภาพแอนิเมชั่น mv ก็เลยลองสร้างขึ้นมา เป็นการพิมพ์แชทฝั่งเดียว นั่นก็เป็นสัญลักษณ์แล้วว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้คิดอะไรกับเรา ไม่ได้สนใจเรา ในเรื่องก็จะเห็นได้ถึงตัวผู้ชายคนนั้นมันหนักขวา เขาอ่านก็ไม่ตอบ บางทีก็ไม่อ่านเลย มันก็เป็นการสื่อความหมายที่เข้าใจง่ายของคนยุคสมัยนี้ดีครับ

เห็นว่าตัวการ์ตูนของดอนใช้ด้ามไม้กวาดกวาดพื้น อันนี้สื่อถึงอะไรหรือเปล่า

ดอน : ไม่มีครับ (หัวเราะ)

ฮั้ว : อาร์ตไดเรคเตอร์ทีมครีเอทีฟ Spicydisc เขาบอกว่ามันเหมือนคนที่รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีความหมาย แต่ก็ยังทำมันไป 

โต้ : เหมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทางครับ เราต้องการกวาดแต่เราใช้อีกด้านหนึ่ง ซึ่งมันเป็นการฝืนไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็เลอะเทอะเหมือนเดิม ไม่ได้ดีขึ้นมาเลยเพราะว่าใช้วิธีแก้ปัญหาที่ผิดทาง

พอพูดถึง NAP A LEAN แล้วทุกคนก็จะนึกถึงเพลงเหงาๆ ก่อน อยากลองเปลี่ยนแนวบ้างไหม ถ้าไม่เหงาจะเป็นแนวไหนดี

โต้ : ถ้าไม่เหงาจะเป็นแบบไหนดี อยากลองเปลี่ยนมั้ย ตัวผมอยากทำเพลงที่ให้กำลังใจครับ เพราะว่าผมไม่ค่อยได้แต่งเพลงให้กำลังใจเท่าไหร่ พยายามจะแต่งเพลงให้กำลังใจมันก็กลายเป็นแบบว่าเหมือนให้กำลังใจตัวเองเหงาๆ ไปเสียอีก รักก่อน..แพ้ สรุปก็พังอยู่ดีนี่หว่า (หัวเราะ) 

ดอน : ให้กำลังใจแหละแต่ก็พังอยู่ดี

โต้ : ถ้าไม่คิดถึงความเหงาของเพลงก็อยากลองทำแบบใหม่ ผมอยากแต่งเพลงให้กำลังใจคนเพราะว่ามันก็จะมีช่วงชีวิตบางช่วงที่เราได้รับแรงบันดาลใจหรือพลังจากเพลงของศิลปินท่านอื่นเช่นเดียวกัน ก็เลยรู้สึกว่าอยากทำแบบนั้นให้ได้บ้าง

ทำวงด้วยกันต้องผ่านช่วงเวลาอะไรหลายๆ อย่างมาด้วยกัน มีการให้กำลังใจกันและกันยังไงบ้าง

ฮั้ว : ไม่มีครับ (หัวเราะ)

ดอน : ส่วนใหญ่พวกเราก็เน้นการพูดคุยกันตรงๆ ครับ มีอะไรก็ปรึกษากัน ไม่เขินอายกัน

โต้ : ชวนกันไปดื่ม (หัวเราะ)

ดอน : ชวนกันปรึกษาหารือ ทุกเรื่องเลย เรื่องานด้วย เรื่อวง เพลง ทุกอย่างครับ

โต้ : วงเรามันอยู่กันมานานแล้วนะครับ แล้วก็ถ้าเทียบกันจริงๆ ผมกับบาสนี่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ ป.3 เพราะฉะนั้นก็จะรู้เรื่องกันหมด รวมถึงเรื่องครบครัว เราะก็จะไปมาหาสู่กันเป็นเหมือนพี่น้องครอบครัวไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเกิดบางเรื่องมันไม่ต้องพูดก็รู้ มันก็พอจะเข้าใจกันอยู่ แต่ว่าถ้ามีโอกาสหรือว่าไปทัวร์ไกลๆ ไปเที่ยวกัน เหมือนเล่นเสร็จเราก็จะนั่งดื่มแล้วคุยกัน เราก็จะรับทราบปัญหาแล้วก็ได้วางแผนต่อไป เพราะว่าทุกคนก็มีธุระหน้าที่ต่างกันไป แต่ว่าวงดนตรีแล้วก็การที่ได้เล่นดนตรีร่วมกันนี่แหละ ทำให้เราได้มารวมกัน

ช่วยเล่าเรื่องตอนทำเพลงในอัลบั้ม Lonelypop ให้ฟังหน่อยได้ไหม เห็น fact ในเพจบอกว่าย้ายมาอยู่ด้วยกันเพื่อทำเพลง สุดท้ายต้องแยกเพราะงานไม่เดิน ตอนนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง

ฮั้ว : เพราะเปิดตู้เย็นมามีน้ำเปล่าขวดเดียวนอกนั้นเป็นแอลกอฮอล์ครับ (หัวเราะ)

โต้ : คือพวกเราเป็นเด็กต่างจังหวัด เข้ามาอยู่ที่นี่เนี่ย จะแยกกันอยู่ตอนแรกๆ มันก็แพงนะครับ แล้วก็การทำงานก็ยาก แยกกันไปอยู่คนละที่คนละถิ่น ก็เลยคิดว่าเรารวมตัวกันดีกว่า เพื่อจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย มีห้องคนละห้องแต่ว่าลงมารวมตัวกันที่ห้องโถงตรงกลาง แล้วก็ทำงานร่วมกัน แล้วก็มีความคิดในแง่นั้น เพราะว่าเห็นหลายวงเขาก็ทำนะ อย่างวง Mild เด็กเชียงใหม่เหมือนกัน รุ่นพี่ด้วย หรืออย่าง 60 Miles ช่วงแรกๆ เขาก็อยู่ด้วยกันเราทำอย่างนี้น่าจะได้ประโยชน์ที่สุดแล้วก็ได้อยู่ร่วมกันด้วย แต่พอเอาเข้าจริงๆ (ฮั้ว : อยู่ไปงานก็ไม่เดิน) เราก็พยายามทำแหละ แต่มันก็ดูชิลล์เกินไป ด้วยความที่เราก็เป็นมือใหม่ในยุคนั้นก็หลงระเริงไปหน่อย มีความสุขกับชีวิตที่กรุงเทพฯ เกินไปหน่อย แต่ว่าก็เกิดเพลงดีๆ จากตรงนั้นอยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ช้าไป ไม่ใช่เธอก็ไม่ใช่ หยุดเลยอย่าร้อง ก็จะมีเพลงพวกนี้โผล่มาจากบ้านหลังนี้ แล้วก็มีความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นมากมาย 

แต่ว่าเราก็อยากจะออกไปมีพื้นที่ส่วนตัวมากกว่าเดิม ก็เลยเปลี่ยนแผนเป็นการแยกย้ายกันออกไปอยู่เอง พอจะต้องทำอัลบั้มคุณฮั้วเขาก็เริ่มแบบ เฮ้ยทุกคน เราต้องเดินงานกันต่อแล้วนะ เราจะต้องปล่อยอัลบั้ม เพราะว่าเราบอกกับแฟนเพลงไปแล้ว แล้วเราก็ใช้เวลาในการทำอัลบั้มนี้นานเกินไปแล้ว มีอีกหลายวิธีที่เราพลิกแพลงครับ อย่างเช่น พวกผมไปเชียงใหม่กัน แล้วก็ไปนั่งทำเพลงที่เชียงใหม่ให้เสร็จ อย่าง รักก่อน..แพ้ นี่ก็เกิดที่เชียงใหม่ เพลงที่ฟังด้วยกันบนรถนี่ก็เกิดที่เชียงใหม่ ก็มีการพลิกแพลงวิธีกันมากขึ้นครับ จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่าสถานที่ด้วยซ้ำไป ว่าเราจะตั้งใจ จะเริ่มจริงจังกันตอนไหน เราก็มาเริ่มจริงจังกันช่วงปีที่ผ่านมาจนทำมันออกมาได้สำเร็จครับ

ตื่นเต้นกันแค่ไหนตอนที่เห็นอัลบั้มแรกของเราออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

บาส : ก็ตื่นเต้นนะครับ เขาเรียกว่าอะไรอะ เราเป็นนักดนตรีครับ เราอยากมีเพลงของตัวเอง ก็รู้สึกดีที่ได้เห็นอัลบั้มแรกของชีวิตที่เราได้มีมันขึ้นมา ตื่นเต้นแล้วก็อยากให้ทุกคนได้ฟัง อยากให้ได้ซื้อไปฟัง ไปดูว่าในนั้นมันมีอะไรบ้าง 

ดอน : เอาจริงๆ มันรู้สึกภูมิใจนะ ได้เห็นผลงานของตัวเองออกมาเป็นชิ้นเป็นอันอย่างนี้ ซึ่งเอาจริงๆ ในฐานะนักดนตรี ผมว่าทุกคนที่เล่นดนตรี แต่งเพลงมีความฝันกันหมดแหละ ก็คืออยากมีอัลบั้มเป็นของตัวเองสุดชุดหนึ่งหรือหลายๆ ชุดก็ได้ มันก็น้อยคนนะที่จะมีโอกาสที่ได้ทำงานตรงนี้ ได้มาอยู่ค่ายเพลง เราก็เลยรู้สึกว่า มันออกมาเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว มันภูมิใจ คุ้มค่ากับที่ทุกคนในวงตั้งใจกับมัน ลงทุนเรื่องเวลา หมกมุ่นอยู่กับตรงนั้นเพื่อให้ผลงานออกมา อยากให้ทุกคนได้ฟังความตั้งใจของพวกเรา ก็เลยรู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นว่าสำเร็จสักที

โต้ : ตามนั้นเลยครับ ตามพี่ดอน รู้สึกภูมิใจ มีความสุขมาก เห่ออัลบั้มมากเลยครับ ผมชอบฟังเพลงเรียงอัลบั้มอยู่แล้ว เวลาที่สนับสนุนผลงานคนอื่นผมก็ชอบซื้อเป็นอัลบั้ม เพราะว่ามันเหมือนเราได้เข้าใจเขาในช่วงเวลานั้นของเขา แล้วอีกอย่างเวลาเราเดินทางไกลๆ ผมชอบฟังเพลงให้ครบอัลบั้ม ไปทัวร์ผมก็จะคิดแล้วว่าวันนี้เราไป เราจะเริ่มฟังอัลบั้มใครดี ก็เลยรู้สึกเห่อเวลาที่เราได้กดเพลงฟัง แล้วก็บรรเลงเพลงของเรา เรียงเพลงเองด้วย ก็เห่อแหละ (หัวเราะ)

ฮั้ว : ภูมิใจมากครับ ย้อนกลับไป 2-3 ปีก่อน วงมีความงานไม่เดินหน้าอยู่ โต้ไม่แต่งเพลง ดนตรีไม่ซ้อมกัน ผมก็เลยตัดสินใจฝึกโปรแกรมมิ่งทำเพลงจากกูเกิล ฝึกโดยการดูยูทูปว่าทำยังไงกัน เพลงไม่คิดถึงเลยเป็นเพลงแรกที่ผมฝึกทำโปรแกรมมิ่ง แล้วก็ทำเดโม่เพลงนี้ขึ้นมาด้วยตัวเองได้โดยที่เราไม่ต้องไปซ้อมกันในห้องซ้อม เพราะเวลาไม่ตรงกัน เพราะว่ามาจากต่างจังหวัด ไม่มีงานประจำทำก็ไปเล่นกลางคืน อย่างผมไปทำงานกลางวัน แยกย้าย มันซ้อมกันยากมากๆ ผมก็เลยต้องหัดทำขึ้นมา โต้แต่งเพลงได้ทีละนิดละหน่อย ผมก็เอานิดๆ หน่อยๆ มาทำเป็นเดโม่ ไม่คิดถึงเลยทำไปเกือบ 10 เดโม่อะ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครับ เพราะฉะนั้นอัลบั้มนี้ผมมองลงไปทุกเพลงผมเห็นการทำงานของมันหมดเลยอะ เพราะผมเป็นคนโปรดิวซ์มัน เป็นคนขึ้นเดโม่มันทุกเพลง เราก็เลยภูมิใจมาก มีชื่อเราอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเปิดเพลงไหนฟังคนอื่นก็จะได้ยินเพลงที่เสร็จแล้วแต่ผมจะนึกถึงเพลงที่ยังไม่เสร็จตลอด ได้ยินตลอดว่าก่อนหน้านี้เป็นยังไง มันก็ภูมิใจมาก เหมือนดูลูกๆ แล้วก็ฟัง เขาชอบลูกคนนี้ของเรามั้ยนะ ชอบไปเช็คคอมเม้นท์ว่าใครเขาไปพูดถึงเสียงดนตรียัง เพราะผมดูพาร์ทดนตรีเกือบทั้งหมด เขาชอบมั้ย เขาบ่นมั้ย หรือแฟนเพลงคิดว่า Nap A Lean มันเปลี่ยนไปมั้ย ผมจะไปดูตลอด ก็ภูมิใจกับอัลบั้มนี้มากครับ

คุยกันเรื่องคอนเสิร์ตบ้าง จะมีคอนเสิร์ตเดี่ยวเป็นของตัวเองแล้วหลังจากมี NAP A LEAN มากว่า 7 ปี ในวงคุยกันยังไงบ้างถึงจะตกลงกันว่า โอเค จะทำคอนเสิร์ตของตัวเองกัน

ฮั้ว : เราคิดว่าเราดังด้วยมั้งครับ (หัวเราะ) พอเราคิดแบบนี้ค่ายก็บอกว่า เฮ้ยวง คิดผิดว่ะ (หัวเราะ) 

โต้ : ตอนแรกวงจะจัดสัก 400-500 คน กำลังดี เพราะรู้สึกว่าจำนวนคนประมาณนั้นอบอุ่นแน่นอน เจ้าของค่ายบอกว่าจะจัดแบบนั้นจัดพรุ่งนี้ก็ได้ (หัวเราะ) ล้อเล่น เอาจริงๆ คือ เพราะพวกเราผ่านการทำงานมาพอสมควรแล้ว เราอยากจะมีสักงานหนึ่งที่เราได้รวบรวมแฟนเพลงของเรา ถ้าเราลองนับจริงๆ ตั้งแต่เพลงแรกที่ปล่อยออกไปก็ประมาณ 8-9 ปีแล้ว บางคนมีลูกมีหลานไปหมดแล้ว และแฟนเพลงรุ่นใหม่ที่เป็นเด็ก เป็นนักเรียน เราก็ได้เจอกันน้อย เพราะถ้าเราไม่ได้เล่นเฟสติวัลหรือไม่ได้เล่นงานกลางวันเราก็จะไม่ได้เจอแฟนกลุ่มนี้เลย เลยรู้สึกว่าเราอยากจะมีสักงานหนึ่งที่อยากจะเจอแฟนคลับทั้งหมด แล้วเราเป็นนักดนตรี เราทำเพลงออกมาเราก็อยากเล่นเพลงให้หมดทุกเพลงให้ได้สักงานหนึ่ง ประจวบเหมาะกับเราจบอัลบั้มได้สักที ค่ายก็รู้สึกว่าปีนี้มันจะต้องมีงานของวงแล้ว ทำคอนเสิร์ต NAP A LEAN เลยดีกว่า เราอยู่กันมานานแล้ว ก่อนที่เราจะเริ่มทำอัลบั้มที่ 2 เราก็ทำคอนเสิร์ตก่อนเลย พวกผมก็รู้สึกว่ามันตรงกับที่เราอยากจะจัดแฟนมีตติ้งในตอนแรก แล้วทางค่ายเสนอคอนเสิร์ตมา มันก็เป็นอีกก้าวหนึ่งที่เป็นความท้าทายด้วยในฐานะนักดนตรี นอกจากทำอัลบั้มแล้วก็ทำคอนเสิร์ต ก็เลยรู้สึกว่า รวมคนที่ฟังเพลง NAP A LEAN มาเจอกันดีกว่า ถามว่ามีความหวั่นใจไหม มีแน่นอน

ดอน :  เราจะมีแฟนเพลงเด็กๆ ที่มาดูเราที่ผับไม่ได้ เราอยากเจอเขาเยอะๆ ก็เลยมีคอนเสิร์ตกันดีกว่า

โต้ : นี่แหละ เป็นที่มาของความคิดที่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันประจวบเหมาะกับเวลาก็เลยเกิดขึ้นมาครับ

คอนเสิร์ต CRY เหงา ทำไมต้อง CRY เหงา

ฮั้ว : มันดูย้อนแย้งใช่มั้ย มันมาจากอัลบั้ม ชื่ออัลบั้มก็จะย้อนแย้งหน่อย Lonelypop แทนที่จะเป็นอมยิ้มหวานๆ มันกลายเป็นเพลงเศร้าๆ เพราะว่าผมเอาไอเดียมาจากวิธีเขียนเพลงของโต้ คือมันคิดถึงอะ แต่เพลงก็บอกว่าไม่คิดถึงเลย ไม่ใช่เธอก็ไม่ใช่ แต่ใช่เธอนะ เป็นสูตรแบบ ลบ ลบ เป็นบวก (หัวเราะ) ผมก็เลยตั้งชื่อ CRYเหงา เพราะว่าคาแรกเตอร์ของวงมันเป็นคนที่ค่อนข้างกวน เฮฮา เฟรนด์ลี่กับทุกสิ่งมีชีวิต เพราะฉะนั้นวงเราเป็นวงที่ไม่เหงา แต่ว่าเพลงมันเหงานะ ผมก็เลยคิดถึงคลายเหงา ถ้าคนมาในคอนเสิร์ตนี้มาฟังเพลงเหงาแหละ แต่ว่ามันจะคลายเหงา

ดอน : ด้วยคาแรกเตอร์ของพวกเราจะช่วยคลายเหงาให้ทุกคน 

ฮั้ว : แต่ทีนี้มันเป็นการคลายเหงาด้วยเพลงที่เหงาไง มันก็เลย ลบ ลบ เป็นบวก คำว่า คลาย เลยให้พ้องเสียงกับคำว่า CRY ที่แปลว่าร้องไห้แทน เพื่อที่จะตอกย้ำความเหงา เพื่อให้คลายเหงาและร้องไห้ไปด้วย แต่ว่าออกไปไม่เหงานะ คนเหงาอยู่ในสถานที่เหงา ออกไปไม่เหงา อ้าว งงเองละ (หัวเราะ) ก็เลยเป็นชื่อคอนเสิร์ตนี้ 

โต้ : จริงๆ มันคือปาร์ตี้ ปาร์ตี้ขอวคนที่ต่อให้ไม่เหงาก็มาสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ การรมตัวกันจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีีขึ้นมาเอง

ความพิเศษของคอนเสิร์ตนี้มีอะไรบ้าง ให้แอบสปอยล์เล็กๆ

โต้ : ไม่มีครับ (หัวเราะ)

ดอน : จะได้ฟังเพลงทุกเพลงที่เราได้ปล่อยออกไป แล้วก็เพลงที่ไใม่ได้ปล่อยด้วย งานนี้จะรวมทุกเพลงตั้งแต่เพลงแรกจนเพลงสุดท้ายของอัลบั้มนี้เลย อาจจะมีเพลงแถมๆ ด้วย มีแขกรับเชิญ อุบไว้ก่อน เรา 4 คนอาจจะเล่นตลกกัน เป็นบริษัท NAP A LEAN ไม่จำกัด 

โต้ : ผมก็รู้สึกว่าแค่การมาเจอกันมันก็คือความพิเศษแล้วนะครับ แขกรับเชิญก็มี ทุกคนต้องประทับใจแน่นอน ซึ่งเขาจะว่างมั้ยก็กำลังติดต่อไปเหมือนกัน (หัวเราะ) 

ฮั้ว : เหมือนอุบๆ ไว้ก่อนนะ แต่จริงๆ ไม่มี (หัวเราะ) 

โต้ : นี่แหละครับ ความพิเศษของมันคือไม่รู้ว่าจะมีอีกไหม ไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้เล่นดนตรีแบบนี้ เพลงนี้ ต่อหน้าทุกคนอีกไหม อาจจะเป็นแค่ครั้งเดียวก็ได้ที่เราได้เล่นเพลงย้อนเวลา อาจจะเป็นแค่ครั้งเดียวที่เราได้เล่นเพลงเช้าวันเหงาก็ได้ เพราะฉะนั้นความพิเศษของมันคือ มันกำลังจะเกิดขึ้นและไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกไหม ถ้าให้ตอบตอนนี้นะ

ดอน : อยากชวนทุกคนมาสนุกกันในคอนเสิร์ต NAP A LEAN ครั้งนี้ด้วย เพราะมันเป็นงานเดียวที่จะรวบรวมเพลงทั้งหมดของพวกเราครับ