“พัตเตอร์-เดชพิสิษฐ์” หนุ่มเชียงใหม่ที่ใช้เวลาครึ่งปีในการเป็นคนอีสาน
นอกจากหัวหน้าแก๊งหน่าฮ่านอย่าง “ยุพิน” แล้ว อีกหนึ่งนักแสดงน้องใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาไม่แพ้กันของ “หน่าฮ่าน เดอะซีรีส์” coming-of-age อีสานที่เพิ่งจบไปก่อนหน้า นี้ ก็คือ “สวรรค์” นักเรียนดีเด่นของโนนหินแห่ ที่รับบทโดย “พัตเตอร์-เดชพิสิษฐ์ จารุกรอภิวัฒิ” นักแสดงหน้าใหม่จากเชียงใหม่ ผู้เป็นชาวเหนือคนเดียวจากนักแสดงหลักทั้งหมดในเรื่องนี้
หน้าใหม่จริงๆ เพราะ “หน่าฮ่าน” เป็นผลงานเรื่องที่สองของเขาต่อจาก “พฤติการณ์ที่ตาย” และเป็นเรื่องแรกที่ต้องใช้ภาษาอีสาน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วพัตเตอร์เป็นชาวเชียงใหม่ตั้งแต่เกิด! พัตเตอร์ใช้เวลากว่า 6 เดือนในการเรียนภาษาอีสานเพื่อทำให้ตัวละครสวรรค์นั้นออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าถามเราว่าเขาทำได้ดีแค่ไหน เราว่าไม่แย่เลยล่ะ แบบที่อยากให้ตามไปพิสูจน์กันใน AIS Play
วันนี้เราก็เลยขอชวนพัตเตอร์มาพูดคุยให้ทุกคนได้รู้จักกับเขามากขึ้นรวมไปคุยกันในเรื่องการแสดงในฐานะนักแสดงน้องใหม่กันหน่อยดีกว่า
รู้มาว่าพัตเตอร์อยากเป็นนักแสดง
ตอนแรกผมไม่ได้มีความคิดอยากเป็นนักแสดงเลย ตอนที่ผมยังเป็นเด็กอยู่ก็อยากจะทำงานที่มันมีฐานะมั่นคงเพื่อที่จะดูแลครอบครัวได้ แต่พอโตมาเรื่อยๆ ช่วง ม.6 ที่ผมได้มีโอกาสเล่นซีรีส์ของ TV Thunder เรื่อง พฤติการณ์ที่ตาย ผมได้เข้าไปอยู่ในกอง ได้อยู่หน้ากล้อง ได้พูดคุยกับพี่ๆ ผู้กำกับ พี่ๆ นักแสดง ผมก็เลยรู้สึกชอบและรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะเวลาที่ผมได้อยู่หน้ากล้องผมรู้สึกว่า เราได้เป็นตัวของตัวเอง เรามีความสุขที่ได้เล่น เรามีความสุขที่ได้พูดคุยกับพี่ๆ ในกอง เลยทำให้ผมตัดสินใจที่จะเบนเข็มการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย แทนที่เข้าคณะบริหารธุรกิจในตอนแรก สรุปสุดท้ายผมตัดสินใจที่จะเข้าศึกษาต่อในเอกการแสดง (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)
แล้วพอเราอยู่ในกอง นอกจากเป็นนักแสดง อยากลองทำอย่างอื่นไหม
ผมมีความคิดอยากจะเป็นจะผู้กำกับกับตากล้องครับ เพราะผมรู้สึกว่าเขาเท่มากเลยเวลานั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์ แล้วมีครั้งนึงช่วงพักกองผมได้มีโอกาสแอบเล่นกล้องของพี่ตากล้อง พอไปเล่นปุ๊บผมเลยได้รู้ว่า เฮ้ย มันยากมาก เวลาที่จะปรับโฟกัสให้มันโฟกัสหน้าคนคนหนึ่งได้ ผมก็เลยสนใจแล้วก็อยากที่จะเรียนรู้เพราะว่ามันยากมากเวลาที่เราต้องโฟกัสด้วยตัวเอง เพราะถ้าไม่มีฝีมือจริงๆ ก็ทำไม่ได้นะครับ ก็เลยสนใจในการเป็นตากล้องและผู้กำกับด้วย
ทุ่มเทการเรียนภาษาอีสานเพื่อ “หน่าฮ่าน” ขนาดไหน
ผมเรียนภาษากับพี่ตั๊ก-ฉันทนา ทิพย์ประชาติ ผู้กำกับ ประมาณ 6 เดือน โดยทุกๆ อาทิตย์พี่เขาจะเปิด Google Meet ให้การบ้านไป ต้องพูดแบบนี้ๆ แล้วก็จะมีการตรวจการบ้านว่าพูดได้ไหม เพราะพี่เขาก็จะให้เราลองพูดแล้วอัดเสียงเก็บไว้ว่ามันต้องพูดแบบนี้นะ แล้วพอเรากลับไปทำการบ้านกับตัวเอง เราก็ไปนั่งฟังคลิปเสียงตัวเองว่า เอ้ย ตรงนี้มันต้องพูดแบบนี้นะ กดเสียงต่ำนะ ตรงนี้ต้องพูดเสียงสูงนะ ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าให้พูดตรงๆ ก็ได้ภาษาจริงๆ ตอนที่ไปอยู่ที่นู่นแล้ว เพราะว่าเหมือนกับการที่เราได้ไปคลุกคลีกับคนที่นู่น ได้ไปฟังเขาพูดจริงๆ ได้ไปฟังเขาสนทนากัน มันเลยได้ซึมซับได้ง่ายมากกว่าการอยู่หน้าจอครับ
ฝึกมานานมาก แล้วคำไหนที่คิดว่ายากที่สุด
ก็ยังเป็นคำที่ตราหน้าผมทุกวันนี้อยู่นะครับ คือคำว่า “ฮู้บ่” “ฮู้บ๋ ว่าหน้าที่ของนักเรียน ม.6 คืออิหยัง” เป็นคำที่ไม่เชิงว่าพูดยากแต่การออกเสียงค่อนข้างยาก เวลาพูดมันก็จะมีความเหน่อนิดนีง ด้วยความที่เป็นคนเหนือ ภาษาเหนือจะไม่ค่อยออกเสียงจัตวา และภาษาอีสานจะไม่ค่อยออกเสียงไม้เอก แบบ “เฮ็ดหยังอยู่” แบบนี้ครับ เวลาพูดก็จะออกจัตวาเป็น “ฮู้บ๋” แบบนั้นครับ มันก็เลยจะมีความเหน่อ แล้วตอนที่ซีนนั้นออกฉาย (ห้วเราะ) พี่ๆ นักแสดง ผู้กำกับ ทีมงาน ก็จะชอบมาล้อว่าแบบ “ฮู้บ๋ๆ” ใส่ผมตลอด (หัวเราะ)
กระแสตอบรับคนดูที่เท่าที่เห็นก็จะชอบที่ว่าเป็นซีรีส์ที่พูดภาษาถิ่น คนอีสานหรือว่าคนที่ฟังภาษาอีสานออก เขาชมสำเนียงเราเยอะไหม
ครับ เขาชม ไม่เชิงว่าชมแต่เขาก็บอกว่า เออ พูดได้เหมือนคนอีสานเลย ทั้งๆ ที่เป็นคนเหนือ อะไรแบบนั้นที่ได้ยินมา ส่วนใหญ่จะมาจากในทวิตเตอร์นะครับ แต่ก็มีบางคอมเมนต์อยู่เหมือนกันที่บอกว่าตรงนี้ยังเหน่อนิดนึง ปรับแก้ได้
วัฒนธรรมแบบหน่าฮ่านของภาคอีสาน ภาคเหนือมีไหม
ภาคเหนือกับภาคอีสานวัฒนธรรมเขาจะแตกต่างกันครับ (ผมรู้สึก) ว่าคนอีสานเขาจะมีความสนุกสนาน กะตือรื้อร้น ซึ่งหน่าฮ่านคือการไปเต้นสนุกหน้าเวทีหมอลำใช่ไหมครับ แต่เราจะไม่เห็นอะไรแบบนั้นในภาคเหนือเลยครับ ภาคเหนือส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับพวกวัฒนธรรมของการฟ้อนรำ เช่น งานยี่เป็งก็จะเห็นนางฟ้อนเขาไปฟ้อนรำกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนดูมากกว่าสำหรับภาคเหนือ คนก็จะไปชมมากกว่า แต่สำหรับอีสานก็คือเข้าไปร่วมได้เลย เข้าไปเต้นบนเวทีหมอลำนั้นได้เลย
“สวรรค์” ในสายตาของพัตเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง แตกต่างกับตัวเองไหม
สวรรค์เป็นเด็กนักเรียนดีกรีประธานนักเรียนที่มีนิสัยเจ้าระเบียบ รักในความถูกต้อง ต้องทำตัวแบบทุกอย่างต้องถูกระเบียบ เพราะด้วยความที่สวรรค์มีพ่อเป็นคุณครูฝ่ายปกครอง อะไรหลายๆ อย่างเขาก็เลยต้องทำตัวให้อยู่ในกรอบเพื่อที่จะไม่ถูกพ่อว่า เพราะว่าเขาถูกพ่อปลูกฝังตั้งแต่เด็กแล้วว่าต้องอยู่ในกรอบของพ่อ
แต่พัตเตอร์เป็นคนที่รักในความอิสระครับ อย่างที่บอกข้างต้นว่าสวรรค์เป็นคนอยู่ในกรอบมาตลอดตั้งแต่เด็กเพราะถูกพ่อปลูกฝังมาแบบนั้น แต่พัตเตอร์จะเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะอิสระในหลายๆ อย่าง เพราะด้วยความที่ที่บ้านค่อนข้างที่จะสนับสนุนครับ แล้วก็อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าตอนแรกที่จะเข้าบริหารธุรกิจแต่สุดท้ายมาเบนเข็มเข้าการแสดง ที่บ้านก็สนับสนุนตลอดครับ
คิดว่าอะไรที่ทำให้เราได้รับเลือกมาเป็นสวรรค์ ในขณะที่เงื่อนไขของเราก็ต่างจากคนอื่นที่พูดอีสานกันได้หมดเลย แต่เราเป็นเด็กเหนือ
พี่ผู้กำกับก็ไปดูผมจากซีรีส์ พฤติการณ์ที่ตาย แล้วเหมือนกับว่ามีคาแรคเตอร์บางอย่างที่ตรงกับ ”สวรรค์” เขาเลยสนใจแล้วก็เรียกผมมาลองคัดตัว แล้วพอผมไปคัดตัวปุ๊บ ด้วยความที่เป็นผม ผมก็จะเดินเข้าไปสวัสดีครับ ให้ทำอะไรผมก็แบบครับๆ แล้วสวรรค์ก็จะเป็นคนที่ยอมคนครับ พูดอะไรทำหมด มันเลยเป็นคาแรคเตอร์ที่ผู้กำกับเขาเห็นแล้วสนนะ คนนี้น่าจะตรงกับสวรรค์ น่าจะเพราะเหตุนี้ก็เลยรับเลือกผมมาเป็นสวรรค์ครับ (หัวเราะ)
แล้วคิดว่าได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง นอกจากเรื่องของการแสดง
ผมได้ไปอยู่ที่อีสานเกือบ 2 เดือนเลยครับ ที่ จ. อุบลราชธานี อย่างแรกที่ได้เรียนรู้คือเรื่องของวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ แนวคิด อาหารการกินของคนอีสาน ว่ามันต่างกับภาคเหนืออย่างสิ้นเชิงเลยครับ เพราะว่าภาคเหนือเขาจะเป็นแนวๆ แบบต๊ะต่อนยอน (หัวเราะ) แบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ช้า เอื่อยๆ แต่อีสานทุกอย่างคือเร็วจี๋ แล้วอาหารการกินเขาก็รสชาติจัดจ้าน ไม่ได้เหมือนกับภาคเหนือ วิถีชีวิตของคนที่นั่นก็จะไม่เร่งรีบเท่ากับคนใต้ แต่เขาก็จะทำอะไรหลายๆ อย่างเร็วกว่าคนเหนือครับ
แล้วก็อย่างที่สองที่ได้เรียนรู้จากการอ่านเนื้อเรื่องของ หน่าฮ่าน เดอะซีรีส์ ก็คือ เราไม่ควรจะตัดสินใครจากมายาคติของเรา เพราะว่าทุกๆ คนมีข้อดีข้อเสีย จุดเด่นจุดด้อยที่ต่างกันออกไปครับ มันก็เลยทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แล้วก็อยากที่จะส่งต่อสารนี้ให้กับคนอื่น ว่าเราไม่ควรที่จะตัดสินคนอื่นจากภายนอก เพราะว่าเขาเป็นคนอีสาน เขาเป็นคนแบบนั้นแบบนี้
สำหรับเรื่อง “หน่าฮ่าน” ซีนไหนเป็นเรื่องที่พัตเตอร์ชอบที่สุด
ผมชอบซีนที่ผมยืนพูดหน้าเสาธงที่สุดครับ เพราะว่าซีนนั้นเป็นซีนที่สวรรค์ได้ปลดล็อกตัวเองจากการที่อยู่ในกรอบมาตลอด เพราะด้วยตวามที่ตอนนั้นผมต้องขึ้นไปพูดเกี่ยวกับเรื่องการแต่งกาย ว่านักเรียนบางคนก็อาจจะแต่งกายถูกหรือไม่ถูกระเบียบ ผมก็เลยขึ้นไปพูดว่า เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ชุดนักเรียนเสมอไป มันเหมือนเป็นการที่สวรรค์ได้หลุดออกจากกรอบตัวเอง
อย่างที่บอกไปว่าสวรรค์อยู่ในกรอบมาตลอด แต่พอได้เจอกับยุพิน ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองให้ยุพินเห็นว่าเราทำได้นะ เราไม่ได้เป็นเด็กที่อยู่ในกรอบเสมอไป เราเป็นคนที่ยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ยุพินเห็นว่าเรายอมทุกอย่างเพื่อที่จะได้ยุพินมา เลยเป็นการทำให้เขาเห็นว่าเราเติบโตขึ้นอีกขั้นนึง
อีกอย่างที่ชอบก็คงเป็นพลอต อย่างเรื่องการแต่งกายมันเป็นสิ่งที่นักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนไม่สามารถที่จะพูดได้ แล้วพอเราอยู่ในจุดที่เราสามารถที่จะพูดได้แล้ว แล้วก็บวกกับในตอนนั้นเราต้องการที่จะพยายามแสดงให้เขาเห็นว่าเราออกจากกรอบของเราแล้วนะ เราทำได้ เราก็เลยตัดสินใจที่จะขึ้นไปพูดให้กับคุณครูแทนเพื่อนๆ ที่ไม่สามารถที่จะพูดได้ ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่มีพลัง ในเมื่อคนอื่นไม่สามารถที่จะพูดได้ แล้วตอนนั้นเราสามารถที่จะขึ้นไปพูดได้แทนพวกเขา เราก็เลือกที่จะทำ
ส่วนตัวพัตเตอร์ คิดเห็นยังไงกับชุดนักเรียนกับโรงเรียนบ้าง
ผมไม่ซีเรียสเรื่องชุดนักเรียนเลยครับ เพราะว่าผมเป็นคนที่เรียบง่าย ใส่อะไรก็ได้ แต่ผมมีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ว่าทำไมนักเรียนจะต้องตัดทรงผมนักเรียนตลอดเวลา เพราะปัจจุบันการที่นักเรียนตัดผมทรงนักเรียน การที่นักเรียนบางคนไม่ตัดไปจะต้องถูกทำโทษด้วยการเล็มผม ผมมองว่าปัจจุบันการตัดผมมันไม่ใช่เรื่องที่มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น เพราะว่าบางคนที่เขาไม่ได้ตัดผม เขาผมยาว เขาก็สามารถที่จะฉลาดได้ครับ แต่ก็อาจจะทำเป็นกฎของเรื่องการย้อมสีผมที่อาจจะย้อมไม่ได้ มากกว่าการที่จะต้องตัดผมไปโรงเรียน ผมรู้สึกว่ามันแปลกครับ
มองว่าอนาคตของเราในฐานะนักแสดงจะเป็นอย่างไรบ้าง
ผมพูดตรงๆ ผมยังไม่ได้มองถึงอนาคตเลยครับ ทุกวันนี้ผมก็แค่พยายามที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะดูแลคนที่บ้าน เพราะว่าผมก็ไม่ใช่คนที่มีฐานะร่ำรวยอะไรขนาดนั้น แล้วก็ด้วยความที่มีโอกาสที่จะทำงานหาเงินได้ตั้งแต่ช่วงอายุนี้ ก็เลยอยากที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ พยายามที่จะหางานให้ได้เรื่อยๆ เพื่อที่จะแบ่งเบาภาระที่บ้านครับ แต่ก็อนาคตก็มีความคิดที่อยากจะเรียนเกี่ยวกับเรื่องการกำกับอยู่เหมือนกันครับ
แล้วมีบทบาทที่อยากลองเล่นบ้างไหม
ที่อยากลองผมอยากลองเป็นแบบ อืม… คนที่เขาเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ผมรู้สึกว่าในสังคมปัจจุบันนี้หลายๆ คนยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงคนเหล่านี้ แล้วในเมื่อผมสามารถที่จะถ่ายทอดเรื่องราวแบบนี้ได้ ผมก็เลยอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวพวกนี้ เพราะว่าพูดตรงๆ ว่าหลายคนก็ยังไม่ค่อยที่จะยอมรับบุคคลเหล่านี้เข้ามาในสังคม ก็เลยทำให้ผมรู้สึกสนใจ เหมือนว่าสังคมปัจจุบันยังไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับผู้ป่วยในด้านนี้ ก็เลยถ้ามีโอกาสที่จะได้แสดงแล้วก็สามารถที่จะถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ได้ ผมก็อยากที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของคนกลุ่มนี้ให้คนอื่นๆ ได้ทราบถึงเหตุและผล ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ วิธีการดูแลช่วยเหลือมีอะไรบ้าง เพราะว่าคนรอบตัวผมบางคนก็เป็นโรคซึมเศร้าอยู่เหมือนกันครับ เลยถ้ามีโอกาสก็อยากจะถ่ายทอดเรื่องราวนี้ครับ