Run Baby Run จากวงกลางคืนสู่ศิลปินน้องใหม่ของค่าย Wayfer Records

สายดนตรีสดอาจจะพอคุ้นเคยกับวง Run Baby Run กันมาบ้าง ว่าเป็นวงที่เข้มข้นทั้งโชว์และการถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเพลงต่างๆ ที่จะเปลี่ยนให้เพลงเดิมๆ ฟังดูแปลกใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่หลังจากเติมชีวิตผ่านเพลงของศิลปินคนอื่นๆ มาโดยตลอด ตอนนี้ Run Baby Run ก็ได้มีผลงานเพลงเป็นของตัวเองออกมาให้ทั้งแฟนคลับที่ได้ติดตามกันอยู่แล้วได้ฟังกัน รวมถึงพร้อมต้อนรับแฟนๆ ที่ได้ฟังเพลงของวงและติดใจเพลงของพวกเขากันด้วย

Run Baby Run เปิดตัวมาด้วยเพลงชื่อแปลกที่สะดุดตาตั้งแต่ที่เห็นครั้งแรกอย่าง “ดำสีเมฆ” ที่เล่าถึงบทเรียนชีวิตที่ล้ำค่า ซึ่งทำให้ได้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น แต่กลับมีอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าจะเรียนรู้เท่าไรก็ไม่เคยเข้าใจ นั่นก็คือสิ่งที่อยู่ในใจคน สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือ ยอมรับความดำมืดที่ยากจะมองเห็นของมัน อ่านแค่นี้อาจจะไม่เข้าใจว่าต้องการจะสื่อถึงอะไร เลยจะขอแนะนำให้ไปฟังเพลงด้วยตัวเองดีกว่า เพราะเนื้อหาของเพลงถ่ายทอดออกมาผ่านเนื้อเพลงที่เข้าใจง่ายประกอบกับดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ-โฟล์กที่ทำเอาฟังเพลินวนไปจนหยุดไม่ได้เลย

ล่าสุด Run Baby Run เพิ่งปล่อยเพลงที่สองที่ได้ยินแล้วต้องสะดุดหูจนต้องไปตามฟังอย่างเพลง “ดาวดวง” แต่ก่อนที่จะไปฟังเพลงใหม่ เราไปคุยกับวงกันถึงเพลงแรกในฐานะของศิลปินจาก Wayfer Records กันก่อนดีกว่า 

ทำไมถึงใช้ชื่อวงว่า Run Baby Run

เจมส์ (นักร้อง): ชื่อวงมันมาจากผมกับวงเก่ามาคิดชื่อวงกัน คิดไปคิดมามันก็ไม่ได้ชื่อวงสักที มือกีต้าร์ผมก็เลยบอกว่าก็เอาชื่อที่อยู่บนเสื้อของผมไหม ซึ่งมันเขียนว่า ‘Run Baby Run’ น่าจะเป็นเสื้อของโครงการวิ่งหรือว่าอะไรสักอย่าง มีคนให้ผมมาอีกทีหนึ่ง ก็เลยเอาชื่อนี้ละกัน

สมาชิกทั้ง 4 มาเจอกันได้อย่างไร

เจมส์ (กีต้าร์): ผมกับเจมส์​ (นักร้อง) เรียนที่ศิลปากรที่นครปฐมด้วยกัน แล้วก็เริ่มเล่นดนตรีกลางคืนกัน ต่อจากนั้นก็มาเจอโอ๊ต มือเบส ซึ่งเคยทำวงกับเจมส์ (นักร้อง) มาก่อนก่อนที่จะแยกย้ายกันไป แล้วก็เจอพี่อั้นที่เป็นมือกลองตอนที่เขาก็กลับมาจากทำงานที่กรุงเทพฯ ช่วงสุดสัปดาห์ 

พอเจมส์ (นักร้อง) ทำวงอีกครั้งก็เลยชวนพี่อั้นเข้าไปทำด้วย พอมาเล่นดนตรีกลางคืนที่กรุงเทพฯ ก็เลยชวนโอ๊ตกับผมมาทำเพลงด้วยกัน ประมาณนี้ครับ

โอ๊ต: พอกลับมาผมก็เลยเสนอว่ากลับมาใช่ชื่อ “Run Baby Run” เถอะ เพราะผมชอบชื่อนี้ เพราะมันเป็นชื่อที่เป็นทีมเก่าของผมกับพี่เจมส์ (นักร้อง) ผมเหมือนยังติดใจชื่อนี้อยู่ก็เลยลองใช้ชื่อนี้ดีกว่า เพราะคิดชื่ออื่นกันไม่ออกแล้วด้วยครับ

เข้ามาเป็นสมาชิกของ Wayfer Records ได้อย่างไร

โอ๊ต: พวกเราได้เจอกันกับพี่ตุล อะพาร์ทเม้นท์คุณป้า (ตุล ไวทูรเกียรต) ครับ แล้วเขาแนะนำพวกเราให้กับค่ายได้รู้จัก ก็เลยได้มาคุย ทำความรู้จักกัน ได้ฟังเพลงของเรา แล้วค่ายก็ชอบก็เลยได้ร่วมงานกัน

เพลงที่พูดถึงนี้ก็คือเพลง “ดำสีเมฆ” ไหม หรือว่าเป็นเพลงอื่น

โอ๊ต: ด้วยครับ ก็คือตอนนั้นก่อนที่จะเจอพี่ตุล เรามีเดโม่ 9 เพลงอยู่แล้ว เราก็เอาให้พี่ตุลฟัง พี่ตุลเขาก็โอเค ตอนแรกพี่ตุลอยากให้เราทำเป็นอินดี้ก่อนด้วย แต่ว่าด้วยปัจจัยหลายอย่างมันไม่พร้อมครับ แล้วมันทำให้งานมันอาจจะช้าเกิน เงินนี่แหละครับ เงินมันน้อย (หัวเราะ) ทุนไม่มีครับ พี่ตุลก็เลยแนะนำว่างั้นหาค่ายช่วยซัพพอร์ตไปก่อนไหม พวกเราก็เห็นด้วย นั่นแหละ แล้วเราก็ได้เจอกัน ได้คุยกัน ได้ให้เพลงไปให้ทางเขาฟัง

ทำงานกับพี่ตุลเป็นอย่างไรบ้าง

ทุกคน: สนุกดีครับ

โอ๊ต: เวลาเขามาทำงานกับเรา เขาจะเหมือนเป็นผู้แนะนำมากกว่า ไม่ค่อยมาปรับเปลี่ยนหรือมาแทรกแซงการสร้างดนตรีเลยครับ ส่วนใหญ่อย่างที่บอกเขาจะเป็นเหมือนพี่เลี้ยง ผู้ประสานงานมากกว่า หลักๆ คือเขาจะมาช่วยเราคุมในเรื่องการอัดนี่แหละครับ

เจมส์ (กีต้าร์): แต่ก็มีที่พี่ตุลแนะนำเรื่องปรับในส่วนที่ทำให้เพลงมันดีขึ้นด้วย เป็นแบบการแนะนำบางส่วน ปรับเปลี่ยนตรงนู้นตรงนี้หน่อย อะไรอย่างนี้ ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพลงไปเยอะมาก แต่มันทำให้เพลงมันดีขึ้น แบบนี้ครับ

แล้วทำไมถึงใช้ชื่อเพลงว่า “ดำสีเมฆ” 

โอ๊ต: คือตอนแรกชื่อเพลงจริงๆ คือ “เมฆสีดำ” เลยครับ แต่ว่าพี่ตุลอีกแหละครับ เขาบอกว่ามันอาจจะดูไม่น่าสนใจ ก็เลยกลับคำไปเลยดีกว่าง่ายๆ ก็เลยประหลาดๆ ดีครับ ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าปากครับ ตั้งใจให้สะดุด ขนาดพวกเรายังสะดุดเลยครับ

อยากจะเล่าอะไรผ่านเพลงนี้

เจมส์ (นักร้อง): คือจริงๆ เพลงนี้ผมแต่งมาจากแมวของผมเองครับ คือถ้าฟังมันก็อาจจะเป็นเรื่องของคน 2 คนที่คนนึงอาจจะผิดหวัง แต่จริงๆ มันมาจากแมวครับ ก็คือเหมือนเป็นแมวที่โดนทิ้ง ตอนแต่งผมก็เลยตั้งตัวเองเป็นแมวตัวนั้น คือถ้าพูดได้ก็อยากจะบอกคนคนนั้นครับ ว่าเราอยากจะบอกความในใจ อะไรพวกนี้ครับ ว่าแบบแมวโดนทิ้งครับ

ฟีดแบคจากแฟนคลับที่เคยติดตามกันมาก่อนเป็นอย่างไรบ้าง

โอ๊ต: เดี๋ยวผมขอพูดก่อน — ผมว่าเขาก็ชอบ แต่อาจจะช็อกครับ เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่ตามผม ตามเรา ตามมาจากการที่เราเล่นร้านกลางคืนที่ส่วนใหญ่เราจะเล่นเพลงแบบบีทร็อก หรือเพลงร็อกอเมริกันอะไรพวกนี้ ปกติดนตรีของเราจะรุนแรงกันกว่านี้ครับ ร็อกกว่านี้ครับ เขาอาจจะคาดหวัง พอเราบอกว่าเราจะทำเพลง ผมคิดว่าทุกคนคงคิดว่าเราจะไปเป็นแบบที่เราเป็นตอนกลางคืนครับ แล้วพอมันออกมาแบบนิ่ม เพราะ แบบเบาขนาดนี้ หลายๆ คนเขาก็เลยก็อาจจะแปลกใจ

ในอนาคตอยากจะลองทำเพลงแบบไหนคะ

เจมส์ (นักร้อง): จริงๆ Run Baby Run ก็ไม่ได้มีซาวด์อะไรที่ตายตัวขนาดนั้นครับ ถ้าเกิดว่าเป็นวงอื่นเขาก็จะมีแบบซาวด์ประจำที่จะใช้กับเพื่อบอกซิกเนเจอร์ของวงนั้นเป็นแบบนี้ แบบนั้น อะไรแบบนั้น ถ้าเกิด Run Baby Run ก็จะแบบว่าเหมือนพวกเราทดลองกันไปเรื่อยๆ ครับ มีซาวด์อะไรที่พวกเราถูกใจก็จะเอามาใส่ อนาคตก็อาจจะไม่ได้เป็นโฟลค์จ๋าเหมือนเพลงแรกครับ ก็อาจจะเป็นป๊อปบ้าง แล้วก็เป็นร็อกก็มี ตอนนี้เพลงเสร็จแล้วก็รอฟังได้เลยครับ

โอ๊ต: มันเหมือนว่าเราไม่ได้ไปนึกถึงตรงนั้นเลย เราทำทุกอย่างที่มันจะเวิร์คกับเนื้อเพลงที่เรามี หรือความรู้สึกเราให้มันพาเดินทางไป แบบว่าจะไปจบตรงไหน แล้วมันจะกลายเป็นอะไรก็ปล่อย เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะเป็นต่อไปมันอาจจะไม่มีอะไรเหมือนอัลบั้ม หรือเพลงในชุดแรกๆ ที่เราสร้างขึ้นมาเลยก็ได้

การทำงานที่เป็นการเล่นดนตรีกลางคืน เล่นที่บาร์อะไรแบบนี้ เจอผลกระทบอะไรบ้างจากโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้

โอ๊ต: เจอครับ ผมว่างเลย (หัวเราะ)

เจมส์ (นักร้อง): ใช่ครับ ก็คือไม่ได้ไปเล่นเลยครับ ก็ตอนนี้มีสกิลอย่างอื่นเยอะมากครับ นอกจากเล่นดนตรี เพราะว่าหาอย่างอื่นทำ ประทังชีวิตไปก่อน

แล้วปรับตัวกับการที่ไม่ได้ไปทำงานแบบนี้อย่างไรบ้าง

เจมส์ (นักร้อง): ตัวผมก็หนีกลับต่างจังหวัดเลยครับ ตอนนี้มาพัก

โอ๊ต: ผมก็กลับไปพักพิงกับที่บ้าน แล้วก็พยายามฝึกสกิลอื่นที่ไม่ใช่การเล่นดนตรี แต่ว่าผมยังอยากจะอยู่ในแวดวงพวกนี้ ก็เลยลองมองหาลู่ทางอื่นดู

อั้น: ผมก็เปิดร้านกาแฟครับ ไปทำกาแฟ เปิดร้านกาแฟ แล้วก็ขายขนม เบเกอรี่อะไรแบบนี้ครับ ก็ลองทำดูครับช่วงนี้ ก็แย่ๆ เหมือนกันครับ