ชวนดู Under the Open Sky หนังไฮไลต์จาก Japanese Film Festival 2022

กลับมาพบกันอีกครั้งกับ  Japanese Film Festival 2022 (เทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น 2565) ที่จัดขึ้นโดย The Japan Foundation สถาบันที่ดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศอย่างครอบคลุมทั่วโลก ในปีนี้มีหนังกว่า 12 เรื่องเลยทีเดียว แบ่งเป็น 9 เรื่องฉายที่กรุงเทพฯ และ 7 เรื่องที่จะฉายที่เชียงใหม่ ( 4 เรื่องที่ฉายที่เชียงใหม่จะเป็นเรื่องเดียวกับที่ฉายที่กรุงเทพฯ) โดยเราได้มีโอกาสได้ดูหนังไฮไลท์ของงานอย่างเรื่อง “Under the Open Sky” จากผู้กำกับหญิง ‘มิวะ นิชิคาวะ’ และได้นักแสดง ‘โคจิ ยาคุโช’ นักแสดงระดับตำนานของญี่ปุ่นมาเป็นตัวละครหลักของเรื่องนี้  

Under the Open Sky ดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง Mibunchō เขียนโดย ริวโซ ซากิ ที่เล่าเรื่องราวของ ‘มาซาโอะ มิคามิ’ (โคจิ ยาคุโช) อดีตยากูซ่าที่ได้รับการปล่อยตัวมาใช้ชีวิตร่วมกับสังคมหลังจากต้องติดคุกเพราะคดีฆาตกรรมมานานกว่า 13 ปี มิคามิผู้มีความหวังในการตามหาแม่ที่แยกจากกันไปตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงส่งเรื่องราวไปยังรายการโทรทัศน์เพื่อช่วยเหลือในการตามหาแม่ ทำให้ได้เจอกับผู้กำกับอย่าง ‘ทสึโนะดะ’ (ไทกะ นากาโนะ) ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของมิคามิ ในขณะเดียวกันก็ต้องพบกับความยากลำบากในการกลับเข้าสู่สังคมปกติและการหางาน โดยได้รับความช่วยเหลือและกำลังใจจากคนรอบตัว

ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้รับรางวัล Silver Hugo สาขา Best Performance หมวด International Feature Film Competition (โคจิ ยาคุโช) และ รางวัล Best International Feature Audience Choice Award จาก Chicago International Film Festival 2020 และยังได้รับเสนอชื่อให้เป็นภาพยนตร์ Official Selection สำหรับ Toronto International Film Festival 2020 อีกด้วย

ถ้าจะหาความตื่นเต้นจากเรื่องนี้ก็ต้องขอบอกกันตามตรงเลยว่านอกจากลุ้นให้มิคามิมีงานทำแล้ว ทั้งเรื่องก็ไม่ต้องลุ้นหรือไม่มีซีนชวนตื่นเต้นอะไรอีกเลย การดำเนินเรื่องเหมือนกำลังอ่านหนังสือ เพราะเรื่องราวพาเราไปติดตามชีวิตของมิคามิอย่างไม่รีบร้อน ค่อยๆ เล่าและชวนเป็นกำลังใจแบบห่างๆ ให้กับอดีตยากูซ่าที่อยากมีชีวิตเหมือนกับคนทั่วไป แม้ในบางจังหวะจะทำให้เขารู้สึกว่าสังคมที่เป็นอยู่นี่ช่างแตกต่างและไม่ต้อนรับคนอย่างเขาเสียเลย เนื่องจากว่ามิคามิอยู่ภายใต้สังคมยากูซ่ามาตลอดชีวิต แต่เพราะว่าไม่อยากกลับเข้าไปอยู่ในคุกอีกเป็นครั้งที่ 2 เขาจึงต้องพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมได้มากที่สุด รวมถึงการหาอาชีพสุจริตเพื่อจะได้ไม่ต้องรู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องมาขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ตัวหนังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับอดีตผู้ต้องหาและแก๊งยากูซ่าแบบชัดเจนขนาดนั้น แต่มีแทรกผ่านบทสนทนาบ้างและทำให้เรารู้สึกได้เองผ่านการเห็นภาพการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของมิคามิ การปรับตัวครั้งใหญ่ในการเข้ากับสังคมคือต้องเปลี่ยนนิสัยใจร้อนและวู่วามตามฉบับของนักเลงให้เป็นคนที่อดทนอดกลั้นให้มากกว่าเดิม

ส่วนตัวค่อนข้างชอบหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว ทำให้เห็นมุมมองของคนที่รู้สึกว่าโดนสังคมกีดกันในขณะเดียวกันก็ยังมีอีกกลุ่มที่คอยโอบอุ้มและเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ หากได้อ่านนิยายก็คงจะเก็บรายละเอียดอื่นๆ ที่ไม่สามารถใส่เข้ามาในหนังได้คงจะทำให้เข้าใจในความรู้สึกของมิคามิได้มากกว่านี้ ถ้าหากถามว่าประทับใจฉากไหนที่สุดก็คงเป็นตอนที่ทสึโนะดะพามิคามิกลับไปตามหาแม่ที่สถานเด็กกำพร้าที่เขาเติบโตมา เราได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขไปพร้อมๆ กับความเจ็บปวดในหัวใจ ส่วนจะเจอแม่หรือไม่ก็คงต้องไปติดตามในเรื่องกันเอง

สิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกขัดใจในระหว่างการดูหนังเรื่องนี้คือซับไตเติ้ลภาษาไทย ที่เราเห็นข้อผิดพลาดไปบางจุด คำผิดบ้าง ใช้คำผิดประเภทบ้าง (เสียงผู้ชายพูด ซับไตเติ้ลลงท้ายด้วยคำว่า ค่ะ) ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องผิดเพี้ยนไป แต่สำหรับคนที่ต้องอ่านซับไตเติ้ลตามก็อาจจะแอบหงุดหงิดขึ้นมาเล็กๆ ได้

นอกจาก Under the Open Sky ก็ยังมีหนังอีกหลายเรื่องที่รอให้ทุกคนตีตั๋วไปชมอยู่ในงาน Japanese Film Festival 2022 มีให้ชมทั้งในกรุงเทพฯ ที่ House Samyan (4 -13 กุมภาพันธ์ 2565) สำหรับเชียงใหม่ ตามไปชมได้ที่ SFX Cinema ( 25-27 กุมภาพันธ์ 2565) ติดตามข้อมูลของเทศกาลกันได้ที่ Japan Foundation และเช็กรอบหนังพร้อมซื้อตั๋ว (กรุงเทพฯ) ได้ที่ www.housesamyan.com