เจเจ กฤษณภูมิ กับความท้าทายใหม่ บทบาทใหม่ และการทำงานระดับอินเตอร์

เข้าสู่ปีใหม่ หลายคนก็มีการก้าวเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต รวมไปถึงนักแสดงอย่าง เจเจ – กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม ที่นอกจากจะทำงานเบื้องหน้าแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีอีกบทบาทหนึ่งในฐานะของผู้บริหาร QOW Entertainment ร่วมกับ ต้าเหนิง – กัญญาวีร์ สองเมือง หลังจากที่ทั้งคู่หมดสัญญากับค่ายเก่า นาดาวบางกอก ไปเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา

เจเจ นั้นเป็นนักแสดงที่มีผลงานออกมาให้เราได้ติดตามกันอยู่ตลอดทุกปีตั้งแต่เข้าวงการมา ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการแสดง นายแบบ หรือการเป็นศิลปินก็ตาม ซึ่งในส่วนของพาร์ทการเป็นนักแสดงนั้น เราก็ได้เห็นเจเจหลากหลายบทจากหลากหลายเรื่อง แต่สำหรับซีรีส์เรื่องใหม่อย่าง Forbidden นั้น จะพาให้เราไปพบกับเจเจในบทบาทใหม่ที่เรายังไม่เคยเห็นกันมาก่อน

Forbidden ออริจินัลซีรีส์ภาษาไทยเรื่องแรกของ HBO จะพาเราเข้าไปค้นหาความลึกลับกับป่าต้องห้าม ณ หมู่บ้านห่างไกลกลางหุบเขาที่ทำให้กลุ่มเด็กวัยรุ่นในเรื่องต้องเจอคำสาปและถูกตามล่าจากสิ่งลึกลับ โดยได้ผู้กำกับไทย นุชชี่-อนุชา บุญยวรรธนะ และ จอช คิม ผู้กำกับชาว Korean-American มาถ่ายทอดเรื่องราวลึกลับชวนลุ้นกัน ซึ่งผลงานซีรีส์เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นผลงานระดับอินเตอร์ชิ้นแรกของเจเจเลยก็ว่าได้

ก่อนจะได้ดูซีรีส์ว่าบทบาทใหม่ที่ว่านี้เจเจจะถ่ายทอดการแสดงออกมาแบบไหน วันนี้เราขอพามาดูเจเจในบทบาทของนายแบบคนแรกในรอบหลายปีของ NYLON Guys และคุยกันถึงเรื่อง Forbidden กันก่อน ส่วนวันฉายมาเมื่อไร NYLON จะรีบบอกแน่นอน

การเตรียมตัวเป็นพิเศษสำหรับการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ 

: ผมเล่นเป็นตัวละครชื่อกานต์นะครับ กานต์ก็จะเป็นชาวปกาเกอะญอ เป็นชนเผ่าหนึ่งซึ่งความยากคือผมต้องพูดภาษากะเหรี่ยงด้วย แล้วก็เหมือนเล่นสำเนียงการพูดภาษาไทยด้วย ด้วยความที่บทของเรื่องนี้มันค่อนข้างไกลตัวมันก็เลยมีการทำการบ้านค่อนข้างเยอะ อย่างขั้นตอนการทำงานก็จะมีน้องที่เป็นชาวปกาเกอะญอจริงๆ ที่มา workshop กับผม แล้วครูบิว (อรพรรณ อาจสมรรถ) ที่มาทำ workshop ให้ เขาก็จะให้ผมดูสำเนียง การพูด จับกิริยาท่าทางต่างๆ ของน้องเขาอะไรแบบนี้ครับ

เรียนรู้แล้วก็เตรียมตัวในการฝึกฝนในการใช้ภาษาปกาเกอะญออย่างไร

: ก็คือมันก็จะตามแต่ละซีนไปเลยครับ ซีนไหนที่จะต้องพูดภาษาปกาเกอะญอจริงๆ ก็จะให้น้องที่เป็นชาวปกาเกอะญอช่วยอ่านเป็นภาษานั้นให้ ความยากของมันก็คือภาษาของชาวปกาเกอะญอก็จะแล้วแต่ด้วยว่าเขาเป็นเผ่าไหนเพราะแต่ละเผ่าก็จะพูดไม่เหมือนกัน ความยากมันก็เลยคือจุดนี้อะครับ ส่วนของสำเนียงการพูดภาษาไทยของกานต์ ผมก็จะปรับมาจากสำเนียงของน้องเขาด้วยแล้วด้วยความที่ผมเป็นคนเชียงใหม่ พวกเพื่อนๆ ผมเวลาคุยกันเขาก็จะมีสำเนียงเหนือติดมานิดนึง ผมก็เลยพยายามเอาจุดนั้นมาปรับใช้กับการแสดงเป็นกานต์ด้วยครับ

แล้วการร่วมงานครั้งแรกกับ HBO เป็นอย่างไรบ้าง

: ก็ตื่นเต้นครับแล้วก็แปลกใหม่มากเพราะว่าแบบวิธีการทำงานมันก็จะค่อนข้างต่างจากการของการออกกองคนไทยปกตินะครับ ทั้งทีมงาน แล้วก็ในส่วนของโปรดิวเซอร์ก็จะมี HBO Asia ที่จะมาดูแลเองเลย การทำงานก็มีการถกเถียงกันค่อนข้างเยอะใน process ทำงานหน้ากอง 

ผมโทรไปปรึกษาพี่ไอซ์ซึ (ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) เพราะมีซีรีส์เรื่องนึงของ gdh ที่พี่ไอซ์ซึเขาเล่นเป็นชาวกะเหรี่ยงเราก็เลยลองโทรไปถามเขาว่าตอนนั้นพี่ใช้วิธีไหนในการเข้าถึงคาแรคเตอร์

การทำงานระหว่างกับทีมต่างชาติกับทีมไทยมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน

: ผมว่าจริงๆ ถามว่าความแตกต่างมันก็ไม่ค่อยแตกต่างขนาดนั้นเพราะว่าด้วยความที่ทั้งสองฝั่งเขามีประสบการณ์ในด้านของการทำซีรีส์หรือว่าทำหนังค่อนข้างเยอะมันก็เลยมีวิธีการทำงานที่จะเหมือนปกติทั่วไปเลยครับ 

แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือทางฝั่งของ HBO Asia เขาก็จะดูในเรื่องของความเป็นซีรีส์หรือว่าความเป็นหนังอินเตอร์ แต่ว่าส่วนของพาร์ตทีมไทยที่เป็นทีมของพี่นุชี่ เขาก็จะดูความเมคเซนส์ของความเป็นไทยเป็น หลัก การทำงานร่วมกับทั้ง 2 ฝั่งก็คือเหมือนมานั่งคุยแล้วก็นั่งแชร์ว่าโอเคมันจะทำยังไงให้มันมีความเป็นไทยแต่ในขณะเดียวกันมันก็มีความเป็นอินเตอร์ด้วย ที่คนต่างประเทศดูแล้วจะไม่งงครับ

การที่ซีรีส์ไทยในแพลตฟอร์มต่างประเทศก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะได้รับผลตอบรับในเชิงลบมีผลยังไงกับการที่เราจะต้องเล่นเรื่องนี้ ทำให้กดดันมั้ย

: จริงๆ ผมรู้สึกว่า [การแสดง] อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผมครับ หมายถึงว่าความรับผิดชอบของผมก็คือทำการแสดงให้ดี ตีโจทย์ของบทให้แตก แล้วก็ทำในสิ่งที่โปรดิวเซอร์หรือว่าผู้กำกับเขาต้องการให้ได้ ขอบเขตของผมมันอยู่แค่นั้นและผมต้องการที่จะทำในส่วนที่ผมรับผิดชอบให้มันได้ดีที่สุด คำถามนี้สำหรับผมก็รู้สึกว่ามันเลยขอบเขต [ความรับผิดชอบ] เลยสิ่งที่เป็นความรับผิดชอบของผมแล้ว 

เหตุผลที่ตัดสินใจรับเล่นบทนี้

: ในฐานะนักแสดงผมโหยหาบทที่ตัวผมเองจะได้พิสูจน์กับมัน หมายถึงว่าที่ผ่านมาเราก็จะได้รับบทที่มันไม่ค่อยไกลตัวมากเท่าไหร่ แต่ Forbidden เป็นเรื่องแรกที่บทค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับผม มีความท้าทายค่อนข้างเยอะ ผมก็เลยตัดสินใจรับเล่นครับ รวมถึงผู้กำกับด้วย ทั้งพี่นุชี่แล้วก็คุณจอชคิม เราก็เคยดูผลงานเขาผ่านตามาอะไรแบบนี้ ผมก็รู้สึกว่าเป็นผู้กำกับ 2 ท่านที่ผมอยากร่วมงานด้วย แล้วยิ่งเป็น Original Content เรื่องแรกของ HBO ที่เป็นภาษาไทยด้วยมันก็เลยยิ่งทำให้คิดว่าผมจะต้องรับเล่นเรื่องนี้ครับ

แล้วสเน่ห์ของคาแรคเตอร์ ‘กานต์’ คืออะไร

: ผมว่าความน่าสนใจคือตัว ‘กานต์’ ครับ อย่างที่บอกว่าเขาเป็นชาวปกาเกอะญอ ในเรื่องเนี่ยก็จะเห็นถึงความพยายามจะใช้ชีวิตในที่ที่มันไม่ใช่ที่ของเขาให้มันกลมกลืนที่สุด คือกานต์จะเป็นคนที่จริงใจ ตรงไปตรงมาแต่ในขณะเดียวกันเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านเท่าไหร่ หมายถึงว่าถ้ามันมีอีเวนต์สำคัญของหมู่บ้านอย่างเช่นการประชุม กานต์จะไม่เข้าร่วม แต่ถ้าถามว่าคนในหมู่บ้านรู้จักกานต์ไหมก็จะรู้จักแหละ แต่แค่อะไรที่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องเข้าไปยุ่งเขาก็จะไม่ยุ่งเลย

มีวิธีเข้าถึงตัวละครนี้ยังไงบ้างนอกจากเรื่องที่ใช้ภาษา

: ก็จะมีเรื่องของปมของตัวละครที่เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนนอก พอเข้ามามันก็จะมีบางอย่างที่เป็นเรื่องของการเข้าสังคมหรือว่านิสัยส่วนตัวที่จะค่อนข้างปลีกวิเวก รวมถึงเบื้องหลังของตัวละครแบบว่ามันมีเรื่องที่ฝังใจเขาครับ ก็ต้องศึกษาตรงนี้รวมถึงการทำงานกับนักแสดงท่านอื่นโดยที่ตัวละครมีความเชื่อมต่อกันอะไรแบบนี้ก็ช่วยมากขึ้นครับ

มีความยากและท้าทายเรื่องอะไรบ้าง

: ถ้าเป็นพาร์ตภายนอก ก็น่าจะเป็นความกดดันที่เราไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานกับทีมต่างประเทศมาก่อน มันก็มีความกดดันประมาณนึง อย่างคิวแรกๆ ก็จะมีการจูนแล้วก็จะมีคอมเมนต์จากฝั่งต่างประเทศมาให้แก้จุดนั้นจุดนี้ในเรื่องของการแสดงหน่อย 

รวมถึงนักแสดงในกรุ๊ปนี้ ผมเคยร่วมงานกับแค่ พี่แพต ชญานิษฐ์ กับ พี่โอบ นิธิ ส่วนคนอื่นๆ เรายังไม่เคยร่วมงานด้วยเลย เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องพยายามปรับตัวเข้าหาเขา แต่ผมรู้สึกว่าผมชอบนักแสดงทีมนี้มากนะเพราะว่าทุกคนมีความเป็นปึกเป็นก้อนช่วยกันในกอง รวมถึงเวลาว่างที่เราพักจากการถ่ายแล้วก็จะมีการสังสรรค์เพื่อที่จะละลายพฤติกรรมกัน ตอนนี้ก็เลยสนิทกันมากเวลาเจอกันก็ทักทายคุยกันแบบสนิทเลยครับ

ใช้วิธีการศึกษาการใช้ชีวิตของชาวบ้านในเรื่องยังไงเพื่อที่จะให้การแสดงของเราออกมาได้เหมือนกับที่เขาเป็นกันจริงๆ 

: ผมทำงานจากสถานการณ์ในเรื่อง ในเรื่องคือกานต์เข้ามาอยู่หมู่บ้านที่มีแค่เขากับน้องชายที่เป็นชาวปกาเกอะญอมัน ก็เลยจะทำงาน [กับตัวเอง] ในแง่ของการที่เราเป็นคนนอกที่คนในหมู่บ้านกึ่งๆ ไม่ยอมรับนิดนึง 

ตั้งแต่จะได้รู้ว่าจะได้รับบทเป็นชาวปกาเกอะญอ ก็มีไปดูคลิปหรือว่าบทสัมภาษณ์ของรายการต่างๆ ที่เขาสัมภาษณ์ชาวปกาเกอะญอ รวมถึงมีปรึกษารุ่นพี่ในวงการนักแสดง ก็คือผมโทรไปปรึกษาพี่ไอซ์ซึ (ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) เพราะมีซีรีส์เรื่องนึงของ gdh ที่พี่ไอซ์ซึเขาเล่นเป็นชาวกะเหรี่ยงเราก็เลยลองโทรไปถามเขาว่าตอนนั้นพี่ใช้วิธีไหนในการเข้าถึงคาแรคเตอร์

จากประเด็นในเรื่องที่เราเล่นเราได้ตระหนักถึงปัญหานี้ยังไง

: จากที่ผมรับรู้แล้วก็จากที่ฟังๆ มา ปัญหาหลักมันน่าจะเป็นเรื่องของการสื่อสาร ด้วยความที่ชนเผ่าปกาเกอะญอหรือว่าชนเผ่าอื่นๆ ในไทยเขาอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วสถานที่ที่เขาอยู่มันค่อนข้างห่างไกล ซึ่งบางทีข่าวสารหรือว่าการสื่อสารมันอาจจะส่งไปไม่ถึงเขา รวมถึงการที่เขาตั้งหมู่บ้านหรือการใช้ชีวิตในป่าบางทีเขาอยู่มาก่อนที่มันจะถูกการกำหนดแบ่งเขต กำหนดพื้นที่ป่าสงวน มันเลยทำให้บางทีพอเขาไม่รู้เรื่องด้วยมันเลยทำให้เขากลายเป็นคนผิด บางทีก็เกิดการไล่ที่หรือจับกุมตัว ผมเลยว่ามันเป็นปัญหาของการสื่อสาร หมายถึงว่าเราอาจจะทำให้เขตนั้นมันเป็นเขตอนุรักษ์แล้วเขาอยู่ตรงนั้น [มาแต่เดิม] การที่จะไปไล่ที่เขาเราก็ควรจะเตรียมพื้นที่ให้เขาด้วย ผมรู้สึกแบบนั้นนะ มันควรจะมีวิธีการจัดการที่มารองรับเขาด้วยไม่ใช่ว่าแบบจะไล่เขาแล้วก็ปล่อยเขาไปเลย 

คือผมก็ไม่แน่ใจด้วยนะว่าคือความจริงแล้วเราอาจจะเห็นปัญหาแล้วก็เห็นวิธีการแก้ปัญหาคร่าวๆ แต่จริงๆ แล้วผมก็ไม่แน่ใจเรื่องแบบกฎหมายหรือว่าอะไรแบบนี้ด้วยแหละ

 ปัญหาหลักมันน่าจะเป็นเรื่องของการสื่อสาร ด้วยความที่ชนเผ่าปกาเกอะญอหรือว่าชนเผ่าอื่นๆ ในไทยเขาอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วสถานที่ที่เขาอยู่มันค่อนข้างห่างไกล ซึ่งบางทีข่าวสารหรือว่าการสื่อสารมันอาจจะส่งไปไม่ถึงเขา รวมถึงการที่เขาตั้งหมู่บ้านหรือการใช้ชีวิตในป่าบางทีเขาอยู่มาก่อนที่มันจะถูกการกำหนดแบ่งเขต กำหนดพื้นที่ป่าสงวน มันเลยทำให้บางทีพอเขาไม่รู้เรื่องด้วยมันเลยทำให้เขากลายเป็นคนผิด

ซีนที่รู้สึกว่าท้าทายและเล่นยากที่สุดคือซีนไหน

: สิ่งที่ยากอยู่ที่พาร์ตหลังๆ บอกไปก็กลัวจะสปอยล์ (หัวเราะ) จริงๆ ก็ยากทั้งเรื่อง แต่คือซีนนี้มันจะอยู่ในพาร์ตของการแก้ปมของตัวละคร คือตั้งแต่ต้นเรื่องมันจะค่อยเผยปมของตัวละครทั้งตัวของกานต์เองแล้วก็ตัวของนุ่น (แพต ชญานิษฐ์) ที่มันเป็นปมที่มันมีร่วมกันแล้วก็ทุกคนพยายามจะลืมมันแต่เหมือนมันกลับมาเรื่อยๆ อะครับ มันเหมือนกลับมาให้เราต้องนึกถึงทำให้เราต้องกลับไปแก้ปัญหาที่เราพยายามจะทิ้งมันไว้ในอดีต ซีนพวกนั้นแหละ

การร่วมงานกับพี่นุชี่และคุณจอชคิมมีความกังวล ท้าทายหรือตื่นเต้นอะไรบ้างมั้ย

: มันจะมีในพาร์ตการทำงานที่พี่นุชี่กับคุณจอชคิมเขาจะแบ่งพาร์ตกัน พี่นุชี่เขาจะเน้นการเล่าเรื่องแล้วก็ดราม่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าจอชคิมเขาจะมาดูเรื่องของแอคชั่นหรือว่าแบบซีนที่มันจะต้องบู๊หน่อย บางทีแบบว่าก็จะมีบางคิวที่พี่นุชี่มา คุณจอชคิมไม่มาหรือว่าคุณจอชคิมมาพี่นุชี่ก็ไม่มา [เพราะเวลาสองคนไม่ตรงกัน] เราในฐานะนักแสดงที่เล่นซีนก่อนหน้านี้ไปแล้วก็ต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารว่าตอนนั้นเล่นไว้แบบนี้นะ เพื่อความร้อยเรียงกัน

ชอบผลงานเรื่องไหนของพี่นุชี่กับจอชคิมเป็นพิเศษ

: อย่างของพี่นุชี่ผมเคยดูเรื่อง มะนิลา ผมชอบสไตล์การเล่าเรื่อง Mood and Tone ที่มันค่อนข้างนุ่มละเมียดละไม 

ส่วนคุณจอชคิม ผมเคยดูเรื่องเดียวคือเรื่อง พี่ชาย My Hero แล้วผมรู้สึกว่าเรื่องนั่นมันเป็นเรื่องที่เขาดึงสเน่ห์ของน้องริว (อิงครัต ดำรงค์ศักดิ์กุล) ออกมาเยอะมาก แล้วน้องริวก็ได้สุพรรณหงส์ด้วยในปีนั้น ผมก็เลยรู้สึกว่าเขาสามารถการเล่าเรื่องของเขามันดึงเสน่ห์ของนักแสดงออกมาได้ดีมากๆ

ได้เรียนรู้อะไรขึ้นบ้างหลังจากที่รับบทเป็นกานต์

: ความกล้ามั้งครับ ด้วยความที่คาแรคเตอร์ของตัวละครแล้วก็แต่ละสถานการณ์ที่ตัวละครเจอมันบีบให้เขาต้องเป็นคนที่สงบเสงี่ยม ต้องเฉย ต้องเป็น ignorant ในเรื่องที่มันเกิดขึ้นในเรื่อง แต่หมายถึงว่า ณ ตอนที่นุ่น (แพต ชญานิษฐ์) กลับมาที่หมู่บ้าน กานต์ต้องลุกขึ้นมาเพื่อทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยนุ่นสิ่งที่เขาทำมันเหมือนบางทีมันก็ขัดกับตัวเอง เขาก็มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำโดยไม่แคร์คนอื่นๆ หรือว่าไม่แคร์กับสิ่งที่เขาจะได้รับตามมาทีหลัง ผมก็รู้สึกว่าผมได้เรียนรู้เรื่องความกล้าจากเขานะ

มีบทไหนที่ยังไม่เคยเล่นแล้วอยากลองเล่นไหม

: จริงๆ ผมรับได้ทุกบทเลยนะติดต่อได้เลยครับ (หัวเราะ) บทพ่อก็ได้ครับ เราไม่เคยเล่นไงบทที่แบบมีลูก อยากเป็นพ่อแบบที่ลูกโดนจับไปแล้วแบบแก้แค้น อารมณ์แบบ Die Hard อะไรแบบนี้

 

Interviewed by Nichkamon Boonprasert
Jaylerr wears Fendi, Loewe, Prada
Style: Pitipong Pongdam
Makeup: Tong Sutipat
Hair: Kongkiat Krissakree
Assistant photographer: Tanisorn Vongsontorn
Photographer: Sereechai Puttes
Special thanks: HBO Asia