ฟัง บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ ในจังหวะ City Pop กับเรื่องราวก่อนมาเป็นซิงเกิ้ลเดี่ยวแรก “I ไม่ O”

เราเห็น บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ร้องเพลงมาหลายครั้งแล้ว เพลงละคร เพลงซีรีส์ หรือเพลงเปิดตัว Disney+ ในไทย แต่ภาพน่ารักขี้เล่น (และสเต็ปเต้น) ของบิวกิ้นกันใน “I ไม่ O” ซิงเกิลเดี่ยวครั้งแรกของเขาก็ยิ่งเปิดภาพใหม่อีกด้านของบิวกิ้นในการร้องเพลงให้เราอยากรู้จัก เป็นภาพนักร้องที่น่ารักและสดใสแบบที่เราไม่คุ้นเคย – และอยากจะคุ้นเคย

บิวกิ้น เปิดซิงเกิลเดี่ยวครั้งแรกของเขาในจังหวะ Soul – City Pop ดนตรีสไตล์อิเล็กโทรป๊อปที่เป็นเอกลักษณ์ของเพลงญี่ปุ่นในยุค 80s ที่อัดกันด้วยเครื่องดนตรีสดหมดทุกชิ้น ซึ่งแน่นอนว่า “I ไม่ O” ก็ยังคงขนบนั้นไว้ พิเศษยิ่งขึ้นคือส่งเพลงไปมิกซ์ทำมาสเตอร์กันถึงญี่ปุ่น ประเทศต้นกำเนิดดนตรี City Pop กันไปเลย! 

นอกจากแนวเพลง บิวกิ้นยังมีส่วนร่วมทั้งในเรื่องการโปรดิวซ์ เนื้อร้อง การเต้น และเอ็มวี เรียกว่าเขามีส่วนร่วมทั้งหมดในทุกๆ ขั้นตอน จะให้ใครเล่าเรื่อง “I ไม่ O” ก็คงไม่เหมือนเจ้าของเพลงเล่าเอง นาดาวมิวสิคก็เลยให้บิวกิ้นมาพูดคุยถึงเพลงใหม่ล่าสุดนี้กัน 

เล่าที่มาที่ไปของเพลง “I ไม่ O” ให้ฟังหน่อย

ตั้งแต่เราได้ไปเก็บประสบการณ์ ลองไปทำเพลงหลายๆ เพลงมา ผมก็รู้สึกว่าพอมันเป็นเพลงที่ไม่ได้เป็นการเกี่ยวเนื่องกับซีรีส์ เป็นเพลงนี้ที่มันเป็นตัวตนของเรา 100% โดยที่ไม่ได้มีโจทย์อะไรมาครอบ ก็อยากจะเอาความเป็นตัวตนเราลงมาอยู่ในนั้น ผมเป็นคนที่ชอบฟังเพลง Soul หรือว่าอะไรที่เป็นพวก City Pop เป็นเพลงเก่าๆ 80s 90s พอวันที่เราจะทำเพลงที่เป็นเพลงของเรา เรารู้สึกว่าอยากจะเอารสนิยมของเราลงมาอยู่ในเพลงๆ นี้ด้วย 

เพลงจะเล่าถึงความรู้สึกของคนๆ หนึ่งที่ไปหึงหวงคนอีกคนหนึ่งที่จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่ได้เป็นอะไรกัน มันเหมือน ไอ-ไม่-โอ ก็คือ ไอ-ไม่โอเคที่-ยู อาจจะไปอยู่ใกล้คนอื่น หรือคนอื่นอาจจะมายุ่งกับยู หรือว่ายูมีคนอื่นมาแย่งจีบ มันเหมือนเราเป็นแฟนคลับ เราเป็นติ่งเขา เราไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับเขา ไปหึงหวงเขาอะไรอย่างนี้ครับ 

อะไรทำให้ชอบ Soul – City Pop 

ผมชอบการเดินดนตรีแบบหรูหรา มีความ Classy มีความแบบเป็นเครื่องดนตรีสด เป็นเครื่องดนตรีที่มันมีเครื่องเป่า มีเครื่องสายให้มันรู้สึกว่ามันเป็นเครื่องดนตรีที่ดูแพง แล้วก็รู้สึกว่า ผมว่าอะไรแบบนี้มันฟังแล้วมันรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ ดนตรี Soul เลยเป็นสารตั้งต้นว่าเราอยากจะทำเพลงแบบนี้ แล้วตัวเราว่ามีมุมไหนที่สามารถไปกับมันได้อะไรอย่างนี้ รวมๆ มันคือ Pop ที่ดึง Element [Soul และ City Pop] เข้ามาอยู่ในเพลงครับ

เหมือนหรือแตกต่างจากเพลงที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง 

จริงๆ ก็ค่อนข้างต่างในมุมที่ว่าเพลงนี้เรามีโอกาสได้ลงมาทำเพลงเยอะ ลงมาเรียนรู้งานเยอะ แล้วก็เรามีโอกาสได้ตัดสินใจเกี่ยวกับรายละเอียดของเพลงเกือบทั้งหมด แล้วก็อีกอย่างหนึ่งคือเป็นเพลงเร็วครับ เป็นเพลงเร็วที่จริงๆ แล้วตัวผมเองไม่เคยทำเพลงแนวนี้มาก่อน เป็นเพลงที่ค่อนข้างมีจังหวะ แล้วก็มีท่าเต้น ยากเหมือนกัน เพราะจริงๆ ปกติเป็นคนที่ร้องแต่เพลงช้า แล้วก็เวลาร้องให้มันเด้งให้มันกระชับ อาจจะไม่ค่อยถนัด อาจจะต้องใช้เวลาฝึกเยอะเหมือนกันน่ะครับ แล้วก็อย่างที่บอกว่าเป็นเพลงที่เป็นของตัวเองเนอะ

บิวกิ้นมีส่วนร่วมอะไรกับเพลงนี้บ้าง 

ตั้งแต่ตั้งต้นเลยครับ  เราก็มีโอกาสได้ทำเหมือนพี่ๆ ในนาดาว [มิวสิค] เขาก็รู้สึกว่าอยากจะให้เราเหมือนเป็นผู้กำกับของเพลงเราเอง มันเหมือนเราก็มีโอกาสได้เลือกโปรดิวเซอร์ที่เราอยากจะทำงานด้วย มีโอกาสได้เลือกแนวเพลงที่เราอยากจะทำ เนื้อเพลงที่เราอยากจะเล่า รวมถึงคนทำงานทั้งหมด และรายละเอียดของเพลง เราก็ได้มีโอกาสอยู่ร่วมตัดสินใจด้วย 

เห็นว่าได้คนดนตรีที่มีฝีมือมาร่วมทำเพลงนี้หลายคนเลย มีใครมาช่วยทำอะไรบ้าง

ก็อย่างแรกเลยก็คือได้ พี่เบล สุพล มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้เต็มตัว หลังจากที่ผ่านมาก็เป็น Executive Producer ให้ผมมาตลอด เขาให้ผมลงมาเรียนรู้แล้วก็อยู่ช่วย ร่วมตัดสินใจด้วย แล้วก็ได้ พี่บี ETC มาเป็นคนแต่งทำนองกับเป็นผู้เรียบเรียงคู่กับพี่เมฆ Machina นะครับ แล้วก็คนที่เขียนเนื้อคือ พี่ปิง (Jiravat Tantranont) ที่เป็นทีมแต่งเนื้อให้กับ ETC ด้วยนะครับผม แล้วก็เดี๋ยวนะ เนื้อร้อง ทำนอง เรียบเรียง อ๋อ! พี่หนึ่ง (AP1WAT) ได้พี่หนึ่งมาช่วย Edit Voice [ปรับเสียงร้อง] ให้ มาช่วยร้องคอรัสให้ แล้วก็จริงๆ วันที่เราอัดเสียง พี่หนึ่งก็มาช่วยดูให้ด้วยคู่กับพี่เบลด้วยครับ แล้วก็เพลงนี้ส่งไปมิกซ์ที่ญี่ปุ่น ก็คือ Oreo Studio เป็นสตูที่ทาง ETC เขาเคยใช้อยู่แล้ว 

ทำไมถึงต้องส่งเพลงไปทำมาสเตอร์ที่ญี่ปุ่นเลย ทำไมถึงส่งไปที่ญี่ปุ่น 

เราทำ Soul ที่มีกลิ่นอายของความเป็น City Pop เรารู้สึกว่าถ้าจะทำแล้ว ทำให้มันถึงไปเลย เราก็รู้สึกว่าการที่เราจะทำให้เพลงเป็นเพลง City Pop แบบ Authentic เราก็เลยส่งให้ญี่ปุ่นซึ่งขึ้นชื่อความเป็น City Pop เนี่ยมิกซ์ไปเลย มันก็จะได้กลับมาเป็น City Pop จริงๆ เลยอะไรอย่างนี้ครับ  

ช่วงโควิดแบบนี้ การทำงานเพลงที่ต้องมีขั้นตอนการคุยกับพี่ๆ ที่มาช่วยในการทำเพลงมีความยากมากน้อยแค่ไหน

ผมว่ามันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ คือเหมือนจริงๆ เราก็แค่ไม่ได้มาเจอกัน แต่เราก็มีการประชุมคุยกันผ่าน Zoom หรือว่า Group Conference Call กันตลอด ผมว่ามันง่ายกว่าด้วย คือบางทีเราไม่ว่าง เจอเคอร์ฟิวเราก็คุยกันได้ แล้วก็คุยกันได้ยาวๆ เสร็จแล้วเราก็จะได้ไปทำอย่างอื่นต่อได้ จริงๆ ประชุมกันบ่อยมากครับ ทั้งทีมเนื้อ ทีมทำนอง ทีมเรียบเรียง สำหรับผม ผมอาจจะเริ่มทำเพลงในยุคนี้แล้วมั้ง หมายถึงว่าตั้งแต่ผมเริ่มทำเพลงมันก็เป็นการทำงานแบบนี้อยู่แล้ว การทำงานแบบเว้นระยะห่าง การทำงานแบบคุยออนไลน์กันตลอด อะไรอย่างนี้ ผมเลยรู้สึกว่าผมเฉยๆ กับการทำงานแบบนี้มั้ง รู้สึกว่ามันไม่ได้มีปัญหาอะไร  

เนื้อเพลงท่อนไหนที่บ่งบอกความเป็นตัวเรามากที่สุด

ผมว่าโดยรวมน่ะมันก็มีความเป็นตัวผมสูงมากนะ เพราะว่าจริงๆ แล้วเนื้อหาสารตั้งต้นหรือว่าการปรูฟคำของเนื้อแต่ละอย่างมันก็ต้องผ่านตัวผม ที่เหมือนออกความคิดเห็นหรือว่าใส่ไอเดีย หรือว่าเหมือนปรูฟการเป็นตัวตนของเราว่าอันนี้ใช่เราไหม อันนี้ไม่ใช่เรา ผมเลยคิดว่าจริงๆ แล้วเกือบจะทุกรายละเอียดของเพลง ไม่ใช่แค่เนื้อแต่หมายถึงทำนองด้วย ผมรู้สึกว่า [เพลงนี้] คือเทสและรสนิยมของผมแล้ว ผมรู้สึกว่าทั้งหมดมันถูกการปรูฟผ่านตัวเรามาหมดแล้ว  

 

ผมชอบการเดินดนตรีแบบหรูหรา มีความ Classy มีความแบบเป็นเครื่องดนตรีสด เป็นเครื่องดนตรีที่มันมีเครื่องเป่า มีเครื่องสายให้มันรู้สึกว่ามันเป็นเครื่องดนตรีที่ดูแพง แล้วก็รู้สึกว่า ผมว่าอะไรแบบนี้มันฟังแล้วมันรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ ดนตรี Soul เลยเป็นสารตั้งต้นว่าเราอยากจะทำเพลงแบบนี้

เมโลดี้และแนวเพลงค่อนข้างเปลี่ยนไปจากที่ผ่านมา เราต้องฝึกอะไรเพิ่มบ้าง

เยอะเลยครับ จริงๆ อย่างแรกก็คือร้อง ร้องเนี่ยจริงๆ  ผมเป็นคนชอบร้องเพลงช้าเนอะ แล้วก็ร้องเพลงเศร้า ร้องเพลงอะไรอย่างนี้ ทิ้งลิเบอร์โต้สวยๆ ทิ้งหางสวยๆ แต่ว่าพอมาร้องเป็นเพลงแบบเร็วเนี่ยมันจะยาน คือเราต้องไปฝึกร้องเพลงให้มันเด้ง ให้มันไดนามิกแบบเน้นคำ มันเหมือนกันว่ามันจะมีรายละเอียดของเพลงท่ไม่เหมือนกับการร้องเพลงช้า อีกอย่างหนึ่งคือเต้น คือเพลงที่มันมีจังหวะเนี่ย จริงๆ แล้วเราก็ต้องมี Movement ไปกับมันด้วย ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นเรายืนแข็งอยู่ในเพลงที่มันเร็วอะไรอย่างนี้ครับ ก็จะแปลกนิดหนึ่ง ก็เลย หลักๆ ก็น่าจะเป็นร้องกับเต้น อาจจะมีเรื่องของการเอนเตอร์เทนนิดด้วยครับครับ

การเต้นที่เราเห็นกันใน MV ใช้เวลาฝึกฝนนานไหม

ก็นานอยู่เหมือนกันครับ คือจริงๆ โชคดีที่ว่าก่อนที่จะมาทำ MV นี้ มีโอกาสได้เริ่มเรียนเต้นไปแล้วประมาณเดือนหนึ่งมั้งครับ แต่ว่าก็ยังไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเท่าไร แล้วก็พอยังไม่ทันไรก็ต้องมาทำ MV ตัวนี้ ก็ต้องมาเรียนเต้นอีก อาจจะได้แค่นั้นเพราะว่าความสามารถพื้นฐานมีต่ำมาก พอบวกกับความยากนี้อาจจะต้องใช้เวลาเรียนรู้นานครับ แต่ว่าเดี๋ยวก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ละกันครับ

หลังจาก MV ปล่อยออกมาแล้ว คนรอบๆ ตัว หลายๆ คน รวมถึงพี่ย้งมี Feedback อย่างไรบ้าง

จริงๆ ผมว่าตั้งแต่สารตั้งต้นก่อนที่เราจะทำอะไรอย่างนี้ พี่ๆ ในนาดาวมิวสิกเขาก็เห็นมุมการเป็นศิลปินของเราในมุมนี้มั้ง ในมุมที่ว่าเราอยากจะพาผมออกจาก Comfort Zone พาไปเจอมุมอื่นๆ ซึ่งจริงๆ มันคือ การทำเพลงเร็ว มันคือเพลงสนุกแหละ แล้วผมว่า เท่าที่คุยเขาก็แฮปปี้นะกับการที่วันนี้เราออกมาลองทำสิ่งใหม่ ลองมาสร้างมุมใหม่ๆ ของการเป็นศิลปินของเรา ผมก็แฮปปี้ แล้วพี่ย้งเขาก็รักผมมาก ผมเชื่อว่าเขารักผมมาก เพราะว่าเขาชอบแสดงออกแบบนั้น ผ่านการหลายๆ อย่างละกัน

มีเหตุการณ์อะไรที่เรารู้สึกว่า “I ไม่ O” บ้างไหม แล้วมีวิธีการจัดการกับความรู้สึกอย่างไร

ไอไม่โอช่วงนี้ ถ้าไม่โอก็คงไม่โอกับ ไม่โอกับ… อาจจะเป็นความยุ่งมั้ง หมายถึงผมว่าพอเราทำหลายอย่างจริงๆ เราก็บริหารเวลาให้ดีที่สุดแล้วนะ เราก็เห็นแล้วแหละว่าเวลานี้กับสิ่งที่เราแบกรับอยู่ แบบนี้คือการบริหารที่ดีที่สุดแล้วกับสิ่งที่เราต้องทำ แต่ว่ามันอาจจะเหนื่อยไปนิดหนึ่งผมคิดว่า แต่ผมว่ามันอาจจะเป็นจังหวะชีวิตด้วย ในมุมที่ว่าทุกๆ อย่างมันเป็นโอกาสที่มันมาช่วงนี้ ทั้งเรื่องเรียน ทั้งเรื่องงาน ทั้งการทำธุรกิจ มันอาจจะอะไรที่เราอาจจะจำเป็นต้องทำมันทั้งหมด แล้วมันก็สำคัญทั้งหมด นี่คือการบริหารที่ดีที่สุด สุดท้ายผลลัพธ์มันอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ว่าก็รู้สึกว่าสนุกดีครับ อาจจะไม่โอกับการนอนน้อยนิดหนึ่ง แต่ว่าก็โอเคครับ

ซิงเกิลต่อไปความว่าน่าจะเป็นแนวไหน 

จริงๆ ผมว่ามันก็ยังอยู่ในกรอบของความเป็น Soul นี่แหละครับ เพราะว่าจริงๆ เราเริ่มจุดเริ่มต้นตรงนี้และ ผมคิดว่ามันก็น่าจะดึง Element อะไรหลายๆ อย่างมาอีกในเพลงถัดๆ ไปอะไรอย่างนี้ ก็เพลงหน้า จริงๆ ยัง… บอกได้ไหม บอกไม่ได้ครับ บอกไม่ได้ บอกได้แค่ว่าจะมีความเป็น Soul จริงๆ Soul มันก็จะเป็น Range กว้างมากอะไรอย่างนี้ครับ เพลงเร็ว เพลงช้า มีจังหวะ มีจังวงจังหวะมันมีอีกหลายอย่าง ก็คิดว่ามันยังมีที่ให้เราได้ไปลอง Explore ได้อีกเยอะมากๆ อะไรอย่างนี้ครับ

มองอนาคตภาพตัวเองในฐานะศิลปินไว้อย่างไร 

ก็จริงๆ ผมว่าเราก็คงพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ มั้งครับ ในฐานะของศิลปิน การทำเพลงเราก็คงเหมือนทำเพลงใหม่ๆ หามุมใหม่ๆ ทดลองไปเรื่อยๆ โตไปเรื่อยๆ อะไรอย่างนี้ครับ รวมถึงงานแสดงด้วยอะไรอย่างนี้ครับ ก็เรายังรู้สึกว่าเรายังประสบการณ์น้อย ในอนาคตเรารู้สึกว่าเราอยากเป็นคนที่เก่งขึ้น เป็นคนที่ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น ได้ไปขึ้นคอนเสิร์ต ได้ไปทำเพลงกับคนเก่งๆ อะไรอย่างนี้ครับ

รู้สึกอย่างไรที่ผลงานตัวเองติดชาร์ตฮิตมาโดยตลอด

ก็จริงๆ ดีใจนะ ถ้าพูดกันตรงๆ เราเริ่มกันในฐานะของการที่เราเป็นนักแสดง แล้วเราก็วันหนึ่งที่เราเล่นซีรีส์ เราเล่นละคร เรามีโอกาสได้ข้ามมาทำงานอีกพาร์ทหนึ่ง ที่จริงๆ แล้วเรารัก เรามี Passion กับมันเหมือนกัน นั่นคือการทำเพลง  เราไม่แน่ใจว่าการทำเพลงของเรามันจะได้รับการยอมรับจากคนที่ฟังเพลงหรือเปล่า แต่ว่าพอเราติดชาร์ต เราประสบความสำเร็จ เรารู้สึกว่ามีคนให้คุณค่ากับเรา มีคนเชื่อว่าเรา เชื่อในสิ่งที่เราทำจริงๆ เราก็มีความสุข ผมว่านอกจากตัวเราที่มีโอกาสได้มอบความสุขให้คนอื่น มันกลับเป็นความสุขที่เราได้รับกลับคืนมา มันทำให้เราอยากจะทำสิ่งนี้ต่อ แล้วเราอยากจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปเรื่อยๆ อะไรอย่างนี้มั้งครับ

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวงการที่ผ่านมา เราได้เห็นการเติบโตของตนเองอย่างไรบ้าง

ผมว่าก็เห็นตลอดนะ หมายความว่า มันอาจจะเป็นเพราะว่าผมมีการเดินทางที่เร็วมั้ง สำหรับผมนะ หมายถึงว่าตั้งแต่เราเริ่มทำ จนถึงการที่เรามาถึงจุดนี้ ผมว่ามันเร็วมาก ผมว่ามันขึ้นมาเร็วมาก มันเลยทำให้เราเห็นความต่างของแต่ละจุดของการเดินทางชัด ตั้งแต่การที่เราไม่เคยได้ทำอะไรเลย จนเรามาเริ่มได้ทำงานโฆษณาบ้างประปราย มาทำรายการ เป็นพิธีกรบ้าง หรือว่าข้ามขึ้นมา Check Mark ใหญ่อาจจะเป็นการได้มาเล่นรักฉุดใจนายฉุกเฉิน ประสบความสำเร็จ ต่อยอดมาให้เราได้มีงานต่อ ต่อยอดมาถึงการที่เราได้ร้องเพลง มาทำแปลรักฉันด้วยใจเธอ แปลรักฯ ทำให้ร้องเพลงเสริมความเป็นศิลปิน เสริมความเป็นนักแสดง ต่อมาที่แปลรักฯ Part 2 อีก ซึ่ง ทำให้เราได้มีโอกาสไปขึ้นคอนเสิร์ต Fantopia มีโอกาสได้เจอแฟนคลับต่างประเทศอะไรอย่างนี้ ผมว่ามันก็จะมีขั้นตอนของมัน พอเราพูดถึงประเด็นไหน เราก็จะเห็นว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นตอนไหน แล้วมันค่อยๆ พัฒนามาอย่างไรมั้ง อย่างที่บอก ผมว่ามันเกินกว่าที่เราคิดไว้มาก พัฒนาการและสิ่งที่เราเดินทางผ่านมา ผมมองย้อนไปมันพิเศษ แล้วมันก็ไม่เคยคิดว่าเราจะมีโอกาสแบบนี้น่ะครับ ก็ขอบคุณทุกคน

ผมว่าทุกๆ อย่างในชีวิตเรามันขับเคลื่อนด้วย Passion ในอีก 5 ปีเราก็อยากจะเชื่อว่าเรายังขับเคลื่อนชีวิตของเราด้วย Passion เรายังใช้ชีวิตของเราด้วยความสุข

ใน 5 ปีคิดว่าตัวเองจะทำอะไร และยังอยากทำผลงานเพลงและการแสดงอยู่หรือเปล่า

อีก 5 ปีผมว่าผมน่าจะ… ก็น่าจะทำนะ คือผมว่าจริงๆ อย่างงานแสดงอย่างนี้ ผมจะทำเฉพาะงานที่ผมรู้สึกว่าผมอิน แล้วก็รู้สึกว่าเรา คืองานแสดงผมว่ามันคือความเชื่อเลย คือถ้าเราอ่านบท เราไปเจอผู้กำกับ ไปเจอทีมงาน แล้วเราไม่เชื่อ เราจะไม่มีทางทำมันออกมาด้วยจิตวิญญาณ ผมว่าสิ่งสำคัญคือเราต้องเชื่องานนั้นก่อน แล้วถ้าเราเชื่อเราจะอยากทำ แล้วเราจะทำออกมาให้ดีเอง ผมว่าสำหรับงานแสดงนะ ตราบใดที่เรายังเจองานที่ดี ผมว่าเราทำได้ดี 

ส่วนงานเพลง ผมคิดว่าเราก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ นะ ทำเพลงใหม่ๆ ผมว่าในอีก 5 ปี ผมก็ยังไม่หมดมุกหรอก ผมก็ยังมีเพลงให้ทำ มีแนวให้ทำอีกเยอะ คิดว่าถ้ายังสนุกและก็ยังอยากพัฒนาตัวเองในด้านนี้คงทำต่อ แล้วก็มีแพลนว่าอาจจะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ว่าก็ยังดูๆ อยู่เลยนะครับ ยังไม่ได้วางแผนชัดเจนว่าจะไปเรียนตอนไหน  คณะ หรือประเทศอะไร แต่คิดว่าน่าจะต้องไปวันใดวันหนึ่ง ช้าหรือเร็วเนอะ สำหรับวันนี้นะ ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนใจแล้วอะไรอย่างนี้ครับผม แล้วก็ผมว่าหลักๆ เราอยากจะมีความสุขมากกว่า มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ผมว่าทุกๆ อย่างในชีวิตเรามันขับเคลื่อนด้วย Passion ในอีก 5 ปีเราก็อยากจะเชื่อว่าเรายังขับเคลื่อนชีวิตของเราด้วย Passion เรายังใช้ชีวิตของเราด้วยความสุขอยู่อะไรอย่างนี้ ความสุขของเรามันคือสิ่งที่นำการกระทำของเรา แล้วก็อาจจะทำธุรกิจนั่นนี่นี่นั่นไปด้วยอะไรอย่างนี้ครับ

ระหว่างนักแสดงกับนักร้องคิดว่าชอบพาร์ทไหนของตัวเองมากที่สุด แล้วอนาคตหรือจะทำอะไรในวงการบันเทิงอีกบ้าง

การเป็นนักแสดงกับนักร้องมันคือความสนุกกันคนละแบบ มันคือความสนุกคนละแบบเลย การเป็นนักแสดงมันคือการสนุกที่เราได้ไปทำ ไปเล่นบทที่เราเชื่อแล้วเราชอบและเราท้าทาย แล้วเราอยากจะเป็นมันให้ได้ อยากจะทำมันให้ได้ เชื่อมันให้ได้มากที่สุด การทำเพลงมันคืออีกอย่างหนึ่ง คือการที่เราจะเอาอะไรที่มันเป็นตัวเรา เราจะนำเสนอ เราจะเล่าเรื่องราวอะไรผ่านมุมมองของเราอย่างไร มันคือการเป็นตัวเอง การแสดงมันคือการไปเป็นคนอื่น แต่หมายถึงทั้ง 2 อย่างมันคือการเล่าเรื่องและมันคือการสื่อสารเหมือนกัน วิธีการไม่เหมือนกัน การแสดงมันคือการออกกอง เป็นเรื่องของการคราฟช็อต คราฟอะไรออกมาเป็น Masterpiece งานหนึ่ง แต่งานเพลงมันรวมคือการทำเพลง คราฟ ไปถ่าย MV ไปขึ้นคอนเสิร์ต ผมว่ามันก็จะเป็นความสนุกกันคนละแบบ 

ส่วนอนาคตอยากจะทำอะไรใรวงการบันเทิงอีกบ้าง ผมว่า ไม่รู้นะ ถ้าเราอยากทำอะไรเราก็คงอยากลองทำไปเรื่อยๆ อะไรที่มันใหม่ในเวลานั้นแล้วเราอยากทำ เราก็ทำ วันไหนไม่อยากทำเราก็เลิก แค่นั้นเอง ทุกอย่างมันไปได้ด้วยด้วยความสุข มันขับเคลื่อนด้วย Passion น่ะ ถ้าเรามี Passion ผมว่าเราทำอะไรก็ได้

 

ข้อมูล: Nadao Music