อินไปกับช่วงฤดูร้อนของชเวอุง แล้วตามมาดูผลงานชเวอูชิกกัน

หลังจากตระเวนเดินสายรับรางวัลไปกับผู้กำกับบงจุนโฮและทีม Parasite ทั่วโลกในปี 2019 ก็ปีนี้แหละที่เราได้เห็นหน้าอึนๆ ของ ชเว อูชิก กันบ่อยมากขึ้นอีกครั้ง เพราะซีรีส์ที่เขานำแสดงและกำลังออนแอร์อยู่ในตอนนี้อย่าง “Our Beloved Summer” ที่เดินทางมาถึงครึ่งเรื่อง และค่อยๆ ไต่อันดับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ กับบท ชเวอุง และเรื่องราวที่ทำให้คนดูอย่างเราย้อนนึกถึงช่วงเวลาสนุกของวัยเรียน

ถึงจะเห็นไม่ค่อยหน้าเขาบ่อย หรือจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขามาจากการแสดงเรื่องไหนกันบ้าง แต่ความจริงแล้วอูชิกผ่านผลงานการแสดงมาเยอะมาก! เราขอยกตัวอย่างเรื่องดังๆ ให้ตามไปดูกันก่อน มีเรื่องอะไรให้ตามไปดูกันบ้างมาดูกัน!

 

Choi Woo-Shik

หน้าเด็กแบบนี้ แต่ปีนี้ ชเว อูชิก อายุครบ 32 แล้วนะ! วัยเด็กของอูชิกนั้นย้ายตามครอบครัวไปอยู่ที่แวนคูเวอร์ แคนาดา ตั้งแต่ชั้นเกรด 5 จนเข้าเรียนในสาขาศิลปศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยไซมอนเฟรเซอร์ ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายกลับมาที่ประเทศเกาหลีตอนที่อูชิกอายุ 21 ปี การอยู่ต่างประเทศกว่า 10 ปีทำให้อูชิกสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ

 

Choi Woo Shik from Parasite speaking English compilation https://youtu.be/eWkk38KeoLc 

Instagram: https://www.instagram.com/dntlrdl/?hl=en

 

Former Idol Trainee 

เห็นฝีมือการแสดงระดับรางวัลอย่างนี้ ก่อนหน้านี้อูชิกเคยเป็นเด็กฝึกของค่าย JYP ด้วยนะ โดยใช้เวลาฝึกตั้งแต่ปี 2012-2018 เลยทีเดียว ซึ่งในระหว่างที่ยังเป็นเด็กฝึกอยู่นั้นเขาก็ได้รับงานแสดงไปด้วย แต่ก็ยังไม่ได้เดบิวต์สักที จนเขาตัดสินใจออกจาก JYP หลังจากฝึกมากว่า 6 ปีและหันมาเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัวแทน

.

ถึงจะไม่ได้เดบิวต์ในฐานะศิลปิน แต่อูชิกก็ยังคงใกล้ชิดกับวงการเพลงทั้งการปรากฏตัวในเพลงดังหลายเพลงเลย อย่าง My Old Story – IU (2014), Congratulations – Day6 (2015), That Moment – Lim Seul-ong (2017) และ You Were Beautiful – Day6 (2017) หรือจะเป็นการโชว์การร้องเพลงทั้ง Some Guys – OST. The Boy Next Door (2017), Soju One Glass – OST. Parasite (2019) และ Boom (2021) ให้แฟนๆ ได้ฟังพลังเสียงของเขาอีกด้วยล่ะ 

 

The Duo (2011) & Etude, Solo (2011)

อูชิกเดบิวต์เข้าสู่การเป็นนักแสดงเมื่อปี 2011 ด้วยซีรีส์พีเรียดเรื่อง “The Duo” โดยเขาได้รับบทเป็น กวีดง ตอนเด็ก ชายหนุ่มที่เกิดมาในครอบครัวยากจนแต่ถูกสลับตัวกับลูกเศรษฐีและได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี โดยทั้งคู่ได้มาเจอกันในตอนโตเพราะว่าดันไปตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกัน นอกจากซีรีส์แล้วก็ยังมีภาพยนตร์สั้นเรื่อง Etude Solo ที่อูชิกได้แสดงในปีเดียวกันอีกด้วย

 

Rooftop Prince (2012)

ส่วนซีรีส์ที่หลายคนอาจจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาอูชิกมากขึ้นก็คงจะเป็นเรื่อง “Rooftop Prince” ที่ในเรื่องนี้อูชิกรับบทเป็น โด ชีซาน ชายหนุ่มชุดวอร์มสีเหลืองโดดเด่นผู้เป็นหนึ่งในสุดยอดผู้ช่วยขององค์ชายลีกั๊กที่พาองค์ชายหนีตายจากกลุ่มคนร้ายแล้วบังเอิญข้ามเวลามาในยุคปัจจุบัน 

 

Set Me Free (2014)

อูชิกยังคงมีงานแสดงให้ได้ติดตามอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งได้รับบทเป็น ยองแจ ในภาพยนตร์เรื่อง “Set Me Free” ที่เรียกเป็นผลงานแจ้งเกิดของเขาเลยก็ว่าได้ อูชิกได้รับรางวัลในหลายเวทีจากการแสดงในเรื่องนี้ ทั้ง Best New Actor (Blue Dragon Film Awards 2014, Busan Film Critics Awards 2015, Korean Association of Film Critics Awards 2015, Wildflower Film Awards 2015) และรางวัล Actor of The Year (Busan International Film Festival 2014)

 

Train to Busan (2016)

ถ้าพูดถึงต้นฉบับภาพยนตร์ซอมบี้เกาหลีก็คงหนีไม่พ้น “Train to Busan” ที่ได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2016 และกวาดรับคำชมจากทั่วโลกมาแล้ว เรื่องนี้อูชิกรับบทเป็น มินยองกุก นักกีฬาที่กำลังเดินทางไปแข่งขันที่เมืองปูซาน พร้อมกับเพื่อนๆ นักกีฬา และแฟนสาว คิมจินฮเย (รับบทโดยอันโซฮี) แต่ยังไปไม่ทันถึงที่ก็ต้องเอาชีวิตรอดจากซอมบี้บนรถไฟ KTX แทน

 

The Witch: Part 1. The Subversion (2018)

การพบกันครั้งแรกของชเวอูชิกและคิมดามี กับเรื่องราวของเด็กที่ถูกทำการทดลองเพื่อพัฒนาศักยภาพอย่างลับๆ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้โครงการนี้ต้องปิดตัวลงรวมถึงเด็กทดลองเหล่านี้ต้องถูกกำจัดทิ้งด้วย แต่กลับมีเด็กหญิงคนหนึ่งรอดออกมาได้และหนีไปอยู่ที่ฟาร์มกับครอบครัวหนึ่งที่ให้การดูแลเธอเป็นอย่างดี พร้อมกับได้ชื่อใหม่ว่า กูจายุน (ดามี) 

เวลาผ่านไป จายุนโตขึ้น พ่อและแม่ก็เริ่มมีโรคแทรกซ้อน ฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดี จายุนเลยตัดสินใจไปประกวดร้องเพลง ทำให้กลุ่มคนที่ตามหาตัวเธอมากว่า 10 ปีเจอตัวและตามมาล่าเธออีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือชายแปลกหน้า (ชเวอูชิก) ที่อ้างว่าเคยรู้จักกันมาก่อน

จายุนไม่อยากให้ครอบครัวและคนรอบตัวเธอเกิดอันตราย หลังจากที่โดนไล่ล่าจนถึงบ้านแล้วทำให้เธอต้องยอมตามคนเหล่านั้นไปเพื่อหาความจริงว่าเธอเป็นใครมาจากไหน เพราะในตอนนั้นจายุนเองก็มีอาการประหลาดที่หมอบอกว่าเธอจะใช้ชีวิตได้เพียงแค่ไม่กี่เดือน นอกจากว่าจะรักษาได้ด้วยไขกระดูกสันหลังของแม่ที่แท้จริงของเธอเท่านั้น

 

Monstrum (2018)

ในช่วงแห่งราชวงศ์โชซอน โรคระบาดได้แพร่กระจายเข้าสู่ผู้คน เกิดภาวะแร้นแค้นทั่วทั้งเมือง และผู้คนตื่นตระหนกเมื่อมีข่าวลือถึงอสูรร้ายแห่งบรรพกาลออกมาไล่ฆ่ามนุษย์บนภูเขาอินวังซาน ชาวเมืองเริ่มต่อต้านองค์จักรพรรดิ เพราะคิดว่าจะไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ องค์จักรพรรดิเลยมอบหมายให้ ยุน กยอม อดีตองครักษ์ประจำราชวงศ์ ออกไปสืบหาความจริงและล่าอสูรร้ายก่อนที่การต่อต้านจะรุนแรงเกินควบคุม แต่กลับไม่เลยว่าอสูรตัวนั้นอาจจะเป็นอันตรายที่สามารถทำลายเมืองให้ย่อยยับเลยก็ได้

เรื่องนี้อูชิกรับบทเป็นเจ้าหน้าที่ฮอ ทหารหนุ่มผู้แข็งแกร่งและทุ่มเทให้กับความยุติธรรม ที่เป็นส่วนหนึ่งของทีมนักล่าอสูรร่วมกับ  ยุนกยอม (รับบทโดย คิม มยองมิน)  อดีตองครักษ์ประจำราชวงศ์ และ มยอง (อี ฮเยริ)  เด็กสาวนักล่าที่ยิงธนูได้อย่างแม่นยำ

 

Parasite (2019)

อีกหนึ่งตำนานของวงการภาพยนตร์เอเชีย กับ Parasite ที่เดินทางไกลไปคว้ารางวัลมามากมายรวมถึงรางวัล Best Picture บนเวที Oscars เมื่อปี 2019 โดยตัวภาพยนตร์นั้นสะท้อนความตลกร้ายในเรื่องความเหลื่อมล้ำทางด้านชนชั้นของ 2 ครอบครัว ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวฐานะยากจนในกรุงโซลที่พ่อและแม่ ไม่มีงานทำ ส่วนลูกชายคนโต คิมกีอู ก็ให้น้องสาว คิมกีจอง ช่วยปลอมตัวตนเพื่อสวมรอยเป็นนักเรียนนอกโดยหวังจะได้งานติวหนังสือให้กับลูกสาวในครอบครัวเศรษฐี จนเป็นเหตุให้ทั้งสองครอบครัวที่ฐานะแตกต่างกันสุดขั้วนี้ต้องมาเกี่ยวพันกันในเหตุการณ์อลวนเกินคาดเดา แน่นอนว่าด้วยบทบาทของ คิมกีอู ก็ทำให้อูชิกที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วได้รับความสนใจมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

 

Our Beloved Summer (2021)

หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน “The Witch: Part 1 – The Subversion” ชเวอูชิกกับคิมดามีก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในรอบ 3 ปี กับซีรีส์รักโรแมนติก “Our Beloved Summer” ซีรีส์ที่ดำเนินเรื่องผ่านชีวิตตัวละครที่แสนจะธรรมดาของชายหญิงที่แตกต่างกันสุดขั้วอย่าง กุกยอนซู (รับบทโดย คิมดามี) นักเรียนอันดับหนึ่งของโรงเรียน กับชเวอุง (รับบทโดย ชเวอูชิก) นักเรียนชายที่เป็นที่โหล่ของโรงเรียน ทั้งสองคนในวัย 19 ปีโคจรมาพบกันในสารคดีเล่าชีวิตของ “ที่หนึ่งและที่โหล่” การที่ทั้งคู่ต่างกันแบบสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ค่านิยม หรือเป้าหมายในชีวิต แต่ปรากฏว่าในท้ายที่สุดแล้วพวกเขากลับมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือในฤดูร้อนนั้นพวกเขาตกหลุมรักกัน ก่อนที่สารคดีที่เคยถ่ายไว้จะกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งในโลกดิจิทัลในสิบปีให้หลัง ในวันที่ทั้งสองแยกทางกันเดินมาแล้วหลายปี 

ติดตามชมกันได้ทุกวันจันทร์และอังคารบน Netflix ตอนนี้เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องแล้วตามไปดูตอนนี้ก็ยังทันนะ ส่วนใครที่ติดใจการแสดงของอูชิกก็ไม่ต้องห่วงว่าจบเรื่องนี้ไปแล้วจะเหงา เพราะในปี 2022 นี้เขาก็ยังมีผลงานให้ได้ติดตามกันอยู่ ทั้ง “The Policeman’s Lineage” และ “Wonderland” รอติดตามข่าวสารกันได้เลยจ้า

 

Television Shows

แต่ถ้าใครรอไม่ไหวก็ตามไปดูรายการสนุกๆ ของอูชิกกันกับ “Summer Vacation” รายการที่พาอูชิกและ จองยูมิ พี่สาวร่วมค่าย ไปใช้ชีวิตในบ้านที่จังหวัดคังวอนด้วยกันเป็นเวลา 1 เดือน โดยมีภารกิจคือต้องทำอาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย รวมถึงต้องเขียนไดอารี่ทุกวันด้วย 

และรายการ Youn’s Stay หลังจากที่เคยมีรายการ Youn’s Kitchen ที่ได้ ยุนยอจอง อีซอจิน จองยูมี และ พัคซอจุนมาร่วมรายการแล้ว ในรายการใหม่นี้ก็ได้อูชิกได้เข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นด้วย โดยรายการนี้จะพาทั้ง 5 คนไปรับบทหน้าที่เป็นพนักงานของ Home Stay กันที่จังหวัดชอลลาใต้และเปิดบ้านให้เป็นที่พักสำหรับชาวต่างชาติเพื่อให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นได้สัมผัสถึงอาหาร วัฒนธรรม ของเกาหลีแบบแท้ๆ นอกจากจะได้เห็นอาหารการกินจนหิวตามแล้ว บ้านพักที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำยังสวยงามจนอยากจะวาร์ปไปเป็นผู้เข้าพักด้วยเลย

 

Art: Siritida Phookaengmok
Written: Nichkamon Boonprasert