Daddy and the Muscle Academy แหล่งรวมสารพัดความน่ารักที่ได้เปิดบ้านใหม่ไกลถึงฮาราจูกุ

ถ้าหากว่าพูดถึงแหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมืองก็คงหนีไม่พ้นสยามสแควร์ ที่มีให้ครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น บิวตี้หรือไลฟ์สไตล์ต่างๆ แต่ถ้าจะให้เดินหาจุดช้อปปิ้งแต่ละอย่างก็คงเหนื่อยน่าดู ถ้าอย่างนั้นเราขอชี้เป้า Daddy and the Muscle Academy ณ สยามสแควร์ซอย 2 ร้านที่รวมสินค้าน่ารักๆ ทั้งเสื้อผ้า สติ๊กเกอร์ สารพัดเครื่องเขียน และเครื่องประดับน่ารักๆ ที่สาวๆ น่าจะอดใจไม่ไหวชนิดที่ต้องหยิบขึ้นมาชมสักชิ้นและหยิบไปจ่ายเงินกันสักตะกร้าหนึ่งแน่นอน NYLON ก็เลยชวน ลูกศร ศรุติ ตันติวิทยากุล มาคุยกันถึงสารพัดความกุ๊กกิ๊กที่รวมขึ้นมาเป็น Daddy and the Muscle Academy กัน

จุดเริ่มต้นของร้าน Daddy and the Muscle Academy

จุดเริ่มต้นคือ Founder เป็นเพื่อนที่ทำงานที่เดียวกัน เป็นดีไซนเนอร์ แล้วแต่ละคนก็มีความชอบที่คล้ายคลึงกันมากๆ ก็เลยเหมือนคิดกันว่าอยากทำแบรนด์ของตัวเองกัน เป้าหมายของการที่จะทำแบรนด์ เริ่มต้นเลยคือแค่อยากจะหาเงินไปเที่ยวโดยที่ไม่ได้ใช้เงินของตัวเองค่ะ ก็เลยมาคุยกันว่าเราอยากทำแบรนด์เป็นลักษณะไหน เหมือนพอเรามีสมาชิกเริ่มแรก 4 คน ก็เลยคิดคาแรกเตอร์เฉพาะของแต่ละคน กลายเป็นคาแรกเตอร์ พ่อ แม่ ลูก เหมือนเป็นสมาชิกครอบครัวหนึ่งขึ้นมา และได้ชื่อว่า Daddy and the Muscle Academy จริงๆ ชื่อนี้มาจากหนังของฟินแลนด์ เหมือนเราเอามาปรับให้กลายเป็นเรื่องราวนี้และคิด story line ที่ต่อออกมาค่ะ

เกณฑ์ในการเลือกสินค้าที่เอามาลงในร้านคืออะไร

คือจริงๆ ไม่ได้มีเกณฑ์แน่ชัดว่าจะต้องเป็นเสื้อผ้า หรือว่าอะไรนะคะ คือ Daddy ของเรามันจะกึ่งๆ มัลติแบรนด์ แต่มันจะเป็นไลฟ์สไตล์ที่เราก็รู้สึกว่าเลือกจากเซ้นส์ และเลือกจากความชอบของตัวเองด้วย แล้วก็จะมีน้องทีม buyer ที่จะคอยคัดเลือกสินค้าที่ตรงตาม mood&tone ของร้าน และอาจจะดูพวกหลักของการออกแบบอะไรพวกนี้ด้วยค่ะ

จับเทรนด์แฟชั่นอย่างไร นอกจากเรื่องของเซ้นส์ของเรา ได้ทำการรีเสิร์ชหรืออะไรแบบนี้บ้างไหม

ด้วยความที่ Daddy เราไม่ได้ทำคอลเลกชันแบบ Spring/Summer Autumn/Winter เราก็เลยออกคอลเลกชันที่ค่อนข้างเร็ว พอเราทำไอจีเองเพราะเราเริ่มมาจากออนไลน์และเรามีออฟไลน์ มีลูกค้าหน้าร้าน เราจะได้รับฟีดแบคลูกค้าได้เร็วและใกล้ชิดลูกค้ามากๆ ทีนี้วิธีการทำงานของเราก็เลยเหมือนรู้เทรนด์ค่อนข้างเร็วเพราะเราได้พูดคุยกับลูกค้า ได้สัมผัสกับเขา แล้วก็ทำให้ Daddy ผลิตสินค้าออกมาได้ทันกับบความต้องการของลูกค้า คือจริงๆ อาจจะไม่ได้อิงเทรนด์มากมาย เพราะว่าของ Daddy เรามีตัวครอบที่เป็นลักษณะของการออกแบบที่เป็นยุค 90 และค่อนของอิงกับวินเทจค่อนข้างสูงค่ะ มันค่อนข้าง timeless อยู่แล้ว อย่างช่วงนี้อาจจะมีลูกค้าที่อินกับสตรีทมากขึ้น เราก็ต้องเหมือนผันตัวเองให้เป็นเสื้อผ้าที่ยังเป็นสไตล์เราแต่มีกลิ่นอายของความเป็นสตรีทในเรื่องของดีเทลชุดเพิ่มมากขึ้น จริงๆ เทรนด์อาจจะเป็นการฟังเสียงจากลูกค้ามากกว่าว่าเขาอยากได้อะไร

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราเลือกมาจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าสนใจ

ตอนแรกเราก็ขายสินค้าที่เป็นเสื้อผ้าเป็นหลัก หลังจากนั้นเราค่อยๆ เพิ่มสินค้าที่เป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น แต่ทีนี้พอเรามีหน้าร้านเป็นของตัวเองก็จะเริ่มรู้แล้วว่าสินค้าไหนขายดี ขายไม่ดี เราก็ปรับตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าสินค้านี้ขายดีเรารู้แล้วว่าความต้องการของลูกค้าค่อนข้างเยอะ เราก็เลยผลิตสินค้านั้นมาเพิ่ม พอเราทดลองตลาด ลูกค้าให้ความสนใจ ออกลายใหม่ๆ หรือว่ามีสินค้าอะไรที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมา ความต้องการของลูกค้าก็ค่อนข้างเยอะเพิ่มขึ้นตาม เราก็รู้สึกว่า อ๋อ โอเค ให้ทีมกราฟิกผลิตสินค้าที่เป็นสินค้าแบบนั้นๆ ออกมา จริงๆ ก็จะอิงจากลูกค้าเป็นหลักอยู่เหมือนกันค่ะ

สินค้าส่วนใหญ่ในร้านเป็น House Brand หรือ Import มาจากต่างประเทศ

สินค้าในร้าน Daddy เราก็จะแบ่งสัดส่วนแบบ 50-50 เลย 50% แรกจะเป็นสินค้า house brand ของเรา ก็คือ Daddy ผลิตเอง เป็นทั้งเสื้อผ้า stationery กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับต่างๆ ส่วนอีก 50% ก็จะเป็นสินค้าฝากขาย คือเรารู้สึกว่าเราอยากให้เพื่อนๆ ที่มาฝากขายกับเรา เติมสีสันกับร้าน ให้ร้านเรามีสีสันมากขึ้น หรือให้ไลฟ์สไตล์ค่อนข้างครบ อย่างร้านฝากขายเราก็จะมีเป็นพวกสติ๊กเกอร์ กระเป๋า แฮนด์เมด หรือในร้าน Daddy สาขาสยามเองก็จะมีทั้งสินค้าวินเทจด้วย ก็จะมีปะปนกันไป 

พอเรามี Daddy Sticker Land ที่เราเพิ่งเปิดใหม่ เราก็จะมีสินค้าที่อิมพอร์ตด้วย หลักๆ ก็จะเป็นจากประเทศเกาหลีกับญี่ปุ่นค่ะ อย่าง RECORDER factory ที่มาจากเกาหลี อันนี้ก็ขายดี แล้วก็จะมี Perms, THENCE studio เป็นแบรนด์ที่ทางเราดีลมาแล้วเราก็เป็น authorized dealer ที่ขายในราคาเท่ากับที่เกาหลีเลยค่ะ

คิดว่าอะไรที่เป็นจุดขายที่ทำให้ลูกค้ามีหลายช่วงอายุ

Daddy เราขายสินค้าที่เป็นแฟชั่นแหละค่ะ แต่ว่าสินค้าของ Daddy มันดีต่อใจ ที่ศรรู้สึกนะ Daddy เราไม่ได้ขายเสื้อผ้าที่เป็นเทรนด์แค่ตอนนี้ ใส่ได้แค่ตอนนี้ หรือว่าสติ๊กเกอร์ก็ไม่ใช่แค่เราเอาไปใช้ แปะ แล้วจบค่ะ มันเหมือนว่าด้วยทุกอย่างในร้านมีเรื่องของศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่ลูกค้าได้กลับไป เขาได้มากกว่าสติ๊กเกอร์ที่เป็นสติ๊กเกอร์ หรือเสื้อผ้าที่เป็นเสื้อผ้า หรือว่าสินค้าอื่นๆ ที่เป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่ง แต่ว่าเขาได้ทั้งสตอรี่ได้ทั้งเรื่องราว หรือสินค้านั้น ศรอยากเรียกว่ามันดีต่อใจค่ะ มันเลยอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้กลุ่มลูกค้าค่อนข้างเยอะ เพราะว่าลูกค้าบางคนก็อาจจะเป็นนักสะสม อย่างสติ๊กเกอร์ โปสการ์ด หรือว่าจะเป็นมาส์กกิ้งเทป ศรเองก็จะได้รับฟีดแบคจากลูกค้าที่แท็กรูปมาว่าเขาสะสมมาส์กกิ้งเทปในสมุด ที่เป็นงานอดิเรกของเขา หรือว่าลูกค้าทั่วไปก็เอาไปใช้และส่งฟีดแบคมา เราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้จำกัดช่วงอายุ ก็คือมีตั้งแต่มัธยมไปจนถึงทำงานแล้วเลยค่ะ

อินสไปร์ในการตกแต่งร้านของเรามาจากไหน

จริงๆ มันเป็นอินเนอร์ของ founder ค่ะ เหมือนด้วยความที่เราชอบสไตล์ประมาณนี้ ค่อนข้างอินมากๆ พอเราอินมากก็รู้สึกว่าถ้าเราอยากที่จะทำร้าน ร้านหนึ่งขึ้นมา เราอยากได้การตกแต่งประมาณไหน เพราะศรรู้สึกว่าเวลาศรไปเที่ยวต่างประเทศ อย่างไปญี่ปุ่น เข้าไปร้านมือสองหรือร้านเสื้อผ้าที่ญี่ปุ่น ศรรู้สึกว่าทำไมเมืองไทยเราขาดการตกแต่งตรงนี้ เพราะบางร้านอาจจะเน้นส่งเสริมการขายมากกว่า คือเราขาดร้านที่มันครบหมดเลย เหมือนเข้ามาแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเป็นราวเสื้อผ้าเรียงกัน แต่ว่าเราอยากให้ลูกค้าเข้ามาแล้วรู้สึกเหมือนบ้าน หรือเหือนเป็นห้องนอนของใครสักคนหนึ่ง อยากให้รู้สึกว่าเป็นที่ที่มีความแฟนตาซีผสมอยู่นิดหนึ่งค่ะ

Pop-Up Store ที่ฮาราจูกุ เป็นมาอย่างไร ทำไมถึงได้ไปเปิดที่นั่น

อ๋อ คือจริงๆ ปีนี้ แบรนด์เราอายุค่อนข้างเยอะ ประมาณปีที่ 7 แล้วแต่ร้านเปิดมา 3 ปี เราก็เลยเริ่มคิดว่าจะขยับขยายอย่างไรได้บ้าง จริงๆ แล้วพอเราเปิดหน้าร้านที่สยามเราโชคดีตรงที่มันเป็นเหมือนแหล่งที่คนเขามาซื้อของวัยรุ่นอยู่แล้ว อย่างช่วงที่ผ่านมาก่อนโควิดก็จะมีลูกค้าชาวเอเชียค่อนข้างเยอะมากๆ เช่นลูกค้าญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง แล้วเวลาลูกค้าญี่ปุ่นเข้ามาเราก็รู้สึกว่า เออ สไตล์เราน่าจะไปทางญี่ปุ่นได้ ตัวศรก็มีคอนเนกชันเพื่อนที่ทำงานอยู่ที่นู่น เขาก็ติดต่อกับ buyer ที่นู่นได้เป็นร้านที่ชื่อ White Gallery เราก็ได้ไปจัดเป็น pop-up stire ที่ LaForet Harajuku แล้วก็ทำคอลเลกชันร่วมกับร้าน RRR ที่โตเกียวค่ะ เหมือนพอเราได้ไปญี่ปุ่นและได้เรียนรู้ว่าจริงๆ คนญี่ปุ่นเขาก็สไตล์ค่อนข้างต่างจากคนไทย เพราะคนไทยจะชอบใส่ชุดที่ค่อนข้างรัดรูป แต่ญี่ปุ่นเขาจะใส่อะไรที่เป็น oversized มากๆ เราก็ต้องปรับการดีไซน์ของเราอาจจะให้มันเข้ากับคนที่นู่นด้วยค่ะ

แล้วการร่วมงานของ Daddy and the Muscle Academy x Sabina 

จริงๆ ซาบีน่ามาชวนคอลแลบค่ะ ซาบีน่าก็รู้สึกว่าอยากจับทาร์เก็ตที่เป็นวัยรุ่น แล้วเขาก็เหมือนเห็นว่าเรามีร้านที่สยามและกำลังเป็นที่สนใจ เขาก็เลยมาชวนทำคอลลาบอเรชั่นกับซาบีน่า แล้วก็ไปฝากขายที่ร้านซาบีน่าประมาณ 10 สาขา แต่ว่าชุดชั้นในก็จะมีวางขายทั่วประเทศเลย

การเติบโตของร้านทั้งการขยายสาขาในไทย และไปไกลถึงต่างประเทศ ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง

เรียนรู้ค่อนข้างเยอะเหมือนกันค่ะ คือด้วยความที่เราเปิดร้าน Daddy นี้ model business เราไม่ได้เน้นขยายร้าน มีจำนวนสาขาที่มาก แต่ว่าเราขยายสาขาโดยที่เรา concern ถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก อย่างที่ Daddy ขยายไปที่ Daddy Sticker Land ที่เซนทรัลลาดพร้าว เราก็คิดว่าตรงนั้นมีลูกค้าที่เป็นเด็กค่อนข้างเยอะ และมีโรงเรียนที่อยู่ติดกัน เราก็เลยคิดว่าเราจะโฟกัสแค่ความเป็น sticker stationery ส่งไปทางนั้น หรือว่าอย่าง Daddy Vintage Store ที่หัวลำโพง เราก็คิดว่าตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่ดูสโลว์ไลฟ์ ดูมีคาเฟ่ค่อนข้างเยอะ ศรก็เลยเอาสินค้าที่เป็นวินเทจหรือพวกของฝากซึ่งคนอาจจะต้องตั้งใจไปที่นั่นนิดหนึ่งค่ะ ที่สยามเราก็รวมทุกอย่าง ก็คือเป็น Daddy Store บวกกับด้านหลังที่จะติดกับลิโด้ก็จะมี Sticker Land ส่วนที่ญี่ปุ่นเราก็ต้องดูว่าลูกค้าต้องการอะไรแบบไหน เราก็จะเลือกของที่จะไปขายอย่างสินค้าที่เป็น oversized หรือสินค้าที่เป็น stationery กุ๊กกิ๊กอะไรพวกนี้ คนญี่ปุ่นก็จะค่อนข้างชอบ เราก็จะขยับขยายสาขาไปโดยที่เราก็คำนึงถึงทาร์เก็ตของแต่ละที่ เราไม่ได้อยากขยายสาขาเยอะแต่เราอยากขยายสาขาอย่างมีคุณภาพ และให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราไปแล้วเราจัดเต็มทุกครั้ง และรู้สึกว่าแต่ละที่ก็เป็น flagship store ของแต่ละสาขาค่ะ

หลังจากนี้ Daddy and the Muscle Academy มีแพลนในอนาคตอีกไหม

ตอนนี้ล่าสุดทาง Daddy ก็จะมีไปขยายอีกประมาณ 2 สาขา ที่หนึ่งเป็น pop-up store ในสยามพารากอน ส่วนอีกที่หนึ่งเป็น shop in shop ที่ เมกะบางนาค่ะ หลักๆ เราก็จะมีการขยายสาขาแล้วก็สร้างผลงานใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกอยากที่จะช้อปปิ้งกับ Daddy ต่อไปค่ะ 

อยากฝากให้ทุกคนติดตามสาขาใหม่ที่กำลังจะเปิดด้วยค่ะ  ทางพวกเราก็ตั้งใจกันมากๆ ค่ะ และสาขาทุกสาขาตอนนี้เราก็มี Daddy and the Muscle Academy ที่สยามเป็นร้านใหญ่ แล้วก็มี Daddy Sticker Land ที่ลาดพร้าว มี Daddy Vintage & Souvenir Store ที่หัวลำโพง ก็สามารถแวะมาช้อปปิ้งกันได้ค่ะ