สื่อสารผ่านเพลงใหม่ที่วง mints อยากให้ใช้ใจรับฟังกัน

กลับมาคุยกันอีกครั้งกับสองหนุ่มวง mints อย่าง อัด—อวัช รัตนปิณฑะ และ ตน—ต้นหน ตันติเวชกุล ถึงแม้จะได้เห็นทั้งคู่บนโลกโซเชียลกันอยู่บ่อยครั้ง แต่แฟนเพลงต่างก็รู้กันดีว่า mints ห่างหายจากการปล่อยเพลงใหม่ถึงหนึ่งปี ซึ่งก็ไม่ได้หายไปเฉยๆ เพราะหนุ่มๆ ก็กลับมาพร้อมกับเพลง ถึงเวลาฟัง ที่ปล่อยออกมาให้ได้ฟังไปเมื่อวานนี้ เพลงที่วง mints อยากใช้เป็นสื่อกลางในการบอกเล่าถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันเพียงเพราะการไม่รับฟังกัน NYLON ก็เลยขอชวนทั้งคู่มาคุยว่าจากเพลงถึงเวลาฟังนั้น มีเรื่องอะไรที่อยากให้เปิดใจรับฟังกันบ้าง

จุดเริ่มต้นของการมาเป็น mints
อัด: พวกเราฟอร์มวงกันมาเป็นปีที่ 4 แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเราก็เป็นนักแสดงมาก่อนของค่ายนาดาวบางกอก

ตน: ตอนนี้ก็ยังอยู่นะ คนอื่นจะชอบถามว่าไม่ได้อยู่แล้วเหรอ

อัด: ไม่ใช่นะ ตอนนี้ก็ยังอยู่ (หัวเราะ) จุดเริ่มต้นของพวกเราก็เจอกันที่นาดาวนี่แหละครับ ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ของค่าย GTH ด้วยกันในตอนนั้น แล้วก็รู้สึกว่า sync กัน พอเจอกันก็ได้คุยกันเรื่องเพลงเลยรู้สึกว่า เคมีมันได้ เลยชวนกันมาทำวงด้วยกัน หลังจากนั้นก็ทำมั่วๆ กัน 2 คนครับ

ตน: แล้วก็ได้พี่ยิ้ม สมเกียรติมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ในช่วงหนึ่ง

อัด: ช่วงนั้นก็ยังเป็นศิลปินอิสระกันอยู่ แล้วค่าย What The Duck ก็ติดต่อพวกเรามา ก็เรา เออ ทอยากมีค่ายแล้ว ทุนทรัพย์หมด (หัวเราะ) เลยได้เข้ามาอยู่ที่ What The Duck ครับ

ตน: ซึ่งปีนี้ (2020) เป็นปีที่ mints ไม่ได้ปล่อยเพลงออริจินัลของวงเลย ปีนี้เลยเป็นปีที่ผมกับพี่อัดได้ทบทวนตัวเองกันค่อนข้างเยอะว่าเราอยากจะทำเพลงแบบไหน อยากจะไปอยู่ตรงจุดไหน เราหากันเยอะมาก ตอนแรกก็อยากจะไปแมสเลย แต่ไม่เอาดีกว่า อยากจะอินดี้ สุดท้ายเราก็หาไดเรคชั่นที่มันจูนเข้าหากันได้ในที่สุด และได้โปรดิวเซอร์คนใหม่มาคือพี่แพท ชนุดม

ให้ตอบคำถามเดิมที่เคยคุยกันไป ตอนนี้เป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว รู้สึกอย่างไรกันบ้าง
อัด: รู้สึกดีครับ หมายถึงว่า ปัจจุบันนี้คนจะเริ่มเรียกเราว่า อัด วง mints กับ อวัช วง mints มากกว่าจากที่เมื่อก่อนจะเรียกว่าเป็น อัด ฮอร์โมน อัด นาดาว อะไรอย่างนี้

ตน: ของผมก็เหมือนกัน

อัด: เหมือนหลังๆ คำถามก็จะเข้ามามากขึ้นว่า เอ๊ะ ยังอยู่นาดาวหรือเปล่านะ ภาพจำเราเป็นศิลปินมากกว่าการเป็นนักแสดงแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างแฮปปี้นะ เพราะจาก 3 ปีที่แล้วที่เรากำลังพิสูจน์ตัวเองในฐานะศิลปิน มันก็ใช้ระยะเวลาและการพยายามที่เราจะต้องฝ่ามาถึงจุดนี้ได้ จากคนที่ไม่เคยเล่นดนตรี ไม่เคยขึ้นร้องบนเวที 3 ปีเราก้าวมาอยู่จุดนี้และคนจดจำเราในฐานะศิลปินมันก็เป็นความดีใจที่เราทำมันได้

ตน: ผมก็ดีใจเหมือนกันเพราะว่ามันก็ตอบโจทย์แรกที่อยากทำไว้และได้คุยกับค่าย What The Duck คือการที่เป็นนักแสดงหรือมีชื่อเสียงมาก่อนมันก็มีข้อดี ในขณะเดียวกันมันก็มีข้อเสีย เพราะว่าคนจะไม่ค่อยเชื่อว่าเราจะทำเพลงได้จริงเหรอ นักแสดงมาทำเอาหล่อ ทำเอาเท่หรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้วพอเวลาผ่านไปมันก็พิสูจน์ได้มากกว่าเดิมเยอะมากว่าเราก็ทำเพลงได้ เราก็แต่งเพลงเองเป็น

เล่าถึงเพลงใหม่ ถึงเวลาฟัง
อัด: จริงๆ เพลงนี้ เป็นเพลงที่เรียกได้ว่าเป็นไดเรคชั่นใหม่ของ mints เลย เหมือนอย่างที่บอกไปว่าช่วงปีที่เราหายไป เราทั้งสองคนต่างก็ไปเรียนรู้อะไรบางอย่างในชีวิตมากขึ้น เหมือนเราไปเจอโลกมากขึ้น เราโตขึ้น ทั้งผมและตนก็มีเรื่องราวในชีวิตที่เปลี่ยนไป อย่างผมก็เพิ่งเรียนจบมา มันก็เป็นช่วงที่เรากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง เป็นช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิต ซึ่งจุดเริ่มต้นของเพลงนี้ เริ่มมาจากที่ผมเห็นข่าวครูที่ตัดผมนักเรียนเยอะๆ ช่วงนั้น แล้วเราเองก็รู้สึกว่าตอนนี้มันเกิดช่องว่างทางความคิดระหว่างผู้ใหญ่และเด็กเยอะมาก รู้สึกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะว่าไม่รับฟังกัน ปัญหาคือบางครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่ฟังว่าเด็กต้องการอะไร เขายึดแต่ความคิดของตัวเองอะไรเดิมๆ

ในขณะเดียวกันในบางครั้งเด็กก็จะมีความเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เราก็เลยอยากทำเพลงที่สื่อสารบางอย่างตรงนี้ออกไป เราก็เริ่มแต่งมาจากตรงนั้น แล้วก็ค่อยๆ ขยายเอาประเด็นที่เกิดขึ้นในสังคมต่างๆ เวลาผู้มีอำนาจหรือใครก็แล้วแต่ทำ เราก็เลยอยากจะส่งเสียงในมุมของเด็กรุ่นใหม่ด้วยเหมือนกันว่า เขากำลังเจอกับอะไร แล้วเราเองก็อยากจะส่งข้อความนี้ออกไปถึงผู้ใหญ่
เพราะฉะนั้นเพลงถึงเวลาฟังก็เป็นเพลงที่เราอยากบอกว่าอยากให้ฟังกันมากขึ้น อยากให้ฟังกันว่า ณ ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น อะไรที่มันเป็นความจริงเราก็อยากให้ยอมรับ และยอมรับการเปลี่ยนแปลงด้วย คือผมรู้สึกว่าหลายๆ ครั้งฟังด้วยหูอย่างเดียวแต่ไม่ได้ใช้หัวใจฟัง มันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ผมว่าการฟังที่ดีคือการที่ใช้ใจฟัง

ตน: ก็เลยเป็นที่มาของชื่อเพลงภาษาอังกฤษด้วยเหมือนกัน คือ hear(t) เล่นคำแบบ ใช้ใจฟัง

อัด: เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่า ถึงเวลาฟังของเรามันไม่ใช่แค่ใช้หูฟัง แต่คือการใช้หัวใจฟังจริงๆ เหมือนที่เด็ก หรือเยาวชนที่กำลังเรียกร้องบางอย่างในสังคม เรารู้สึกว่าหลายๆ ครั้งเราไม่ได้รับการรับฟังปัญหาเหล่านี้ สุดท้ายถ้ารับฟังแล้วมีเหตุผลในการโต้แย้ง นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากให้เกิดขึ้นนะ แต่ในตอนนี้เรารู้สึกว่าเราไม่ถูกรับฟังเลย ก็เลยเป็นสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารผ่านเพลงนี้

ตน: ขอเสริมนิดนึง รวมถึงในมุมมองของเด็กหลายๆ คนที่แม้กระทั่งเด็กด้วยกันเองบางทีก็ไม่ฟังกันเองด้วยซ้ำ หรือเด็กก็ไม่ฟังผู้ใหญ่ คือฟังแต่อย่างที่พี่อัดบอก คือใช้หูฟังแต่ไม่ได้ใช้ใจในการพยายามที่จะเข้าใจว่าผู้ใหญ่เขามีเหตุผลแบบนี้ แต่เราก็ยังดื้ออยู่ มันก็เหมือนกันทั้งสองฝ่าย ผมก็เลยอยากให้เพลงนี้เป็นเหมือนกระบอกเสียงของทั้งสองฝ่าย ให้ฟังกันและกันด้วยใจจริงๆ

อัด: เป็นเพลงที่พูดแทนคนทุกคนได้ ผมรู้สึกว่าในวันที่สังคมมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นเต็มไปหมด บางครั้งเราก็มักจะอยากได้ยินแต่เรื่องที่เราอยากได้ยินอะ ผมว่าเพลงนี้มันอาจจะทำให้คนฟังแล้วกลับมาทบทวนว่าจริงๆ แล้วเราใจแคบหรือเปล่า เราได้เปิดใจมากพอไหม การมีจุดยืนเป็นสิ่งที่ดีแต่สุดท้ายเราก็ต้องรับฟังอีกฝั่งหนึ่งด้วยว่าจริงๆ แล้วเขาคิดอะไร ไม่งั้นเราก็จะเป็นแบบ คนด้านเดียวอะ

ตน: แล้วเราก็จะเป็นเหมือนคนที่เราเกลียด เราก็จะกลายเป็นคนที่เราบอกว่าเขาไม่ฟัง

อัด: ผมเลยรู้สึกว่ามันต้อง balance เราก็พยายามเตือนตัวเองเหมือนกันนะ เวลาที่เรารับข่าวสารอะไรมา บางทีเราก็ต้องเบรคตัวเองด้วยการอยากรับรู้อีกฝั่งหนึ่งเหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขากำลังเชื่ออะไรอยู่ เพื่อที่เราจะได้ทำความเข้าใจแล้วก็ฟังเหมือนกันว่า อ๋อ เขาคิดแบบนั้น ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย เราฟังเขาแล้วก็ไปหาข้อมูลเพื่อแย้งหรือเพื่อพูดคุยกันด้วยเหตุและผล ด้วยหลักฐานว่าสิ่งที่คุณเชื่อ สิ่งที่เราไม่เชื่อ มันเป็นเพราะอะไร เพราะถ้าไม่ฟังกันมันก็จะไม่นำไปสู่การพูดคุยกันโต้เถียงต่อไปครับ

ตน: ถ้าในนิยามแบบสั้นที่สุดก็คงเป็น ฟังด้วยใจ

อัด: รับฟังอย่างจริงใจ ด้วยหัวใจครับ ในเพลงก็จะเป็นมุมการเล่าของเด็ก มีความบ่นว่าอยากหนีไปให้ไกล อยากจะผ่านเรื่องร้ายนี้ไป จะมีความน้อยใจอยู่นิดๆ พยายามเปลี่ยนแค่ไหนก็ไม่สำเร็จสักที เราก็เลยอยากจะบอกว่าถึงเวลาฟังแล้วแหละ แทนได้หมดครับ

หายกันไปนาน อยากให้เล่าเรื่องราวของการทำเพลงนี้ด้วย
ตน: จริงๆ ปีนี้ การทำเพลงด้วยกันสนุกที่สุดตั้งแต่เคยทำด้วยกันมา 4 ปี ไม่รู้ว่าเป็นเพลงที่ชอบที่สุดของ mints เลยหรือเปล่า แต่ว่าสนุกที่ในการทำ เรารู้สึกว่าเราพามันมาไกลมากเลยครับ เพราะผมจำได้ว่าในพาร์ทดนตรีมันเริ่มมาจากที่วันหนึ่ง พี่อัดทำเมโลดี้ขึ้นมา เป็นเพลงช้าด้วยนะแต่เพลงนี้กลายเป็นเพลงเร็ว (หัวเราะ) แล้วผมก็เอาเมโลดี้ของพี่อัดมาพัฒนาต่อกับสิ่งที่ผมกำลังอินอยู่ในช่วงนั้น ดนตรีที่มันสนุกสนานมีพลังมากขึ้น ก็เลยกลายเป็นว่าจากเมโลดี้ที่พี่อัดอัดมาแบบเปล่าๆ ไม่มีอะไรเลย มีแค่เสียงปิดซิป พี่อัดน่าจะกำลังเก็บของอยู่ แล้วฮัมเพลงไปด้วย (หัวเราะ) ผมก็เลยเอาไปต่อยอดแล้วกลายเป็นเพลงเร็วเฉย คือพลิกมาก แล้วจากวันนั้นที่ทำเดโม่ส่งให้พี่อัดฟังจนถึงวันนี้ มันมาไกลมากๆ เรารู้สึกภูมิใจเหมือนเห็นลูกโตเลย ภูมิใจมากกับเพลงนี้

อัด: คือมันภูมิใจด้วยส่วนหนึ่งเพราะเป็นเพลงที่เราสองคนแต่ง 100% ทั้งทำนอง เนื้อร้อง ผมก็ไม่คิดว่าจะเขียนออกมาได้ด้วยตัวเองทั้งหมด ผมรู้สึกว่าตอนเขียนมันก็เป็นครั้งแรกที่เราเขียนเนื้อโดยใช้เวลาไม่นานเลย ประมาณ 2 วันครับ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อยู่ๆ มันก็พรั่งพรูออกมาเอง

ตน: อ๋อ แล้วที่สนุกอาจจะเป็นเพราะว่าเราคิดน้อยกันด้วยแหละ รอบนี้เป็นรอบที่คิดน้อยมาก คือเพลงก่อนๆ คิดเยอะมาก กว่าจะเสร็จสักอย่าง เนื้อเพลงแก้แล้วแก้อีก แต่รอบนี้เหมือนปล่อยสัญชาตญาณในการเขียน ในการทำ

อัด: ใช่ เราคิดว่ากำลังสื่อสารแบบนี้ เราอยากจะพูดสิ่งนี้จริงๆ เราก็โฟลว์ไปกับมัน เหมือนวิธีการคือทำให้มันจบก่อน ไม่ว่ารูปร่างหน้าตามันจะเป็นยังไง พยายามทำให้จบ ให้เสร็จสิ้นตั้งแต่ต้นจนจบแล้วเราค่อยมาดูว่าเราควรจะต้องแก้ตรงไหนอะไรยังไง มันก็เลยรู้สึกว่าความเครียดมันน้อยลง กลายเป็นความสนุก กลายเป็นความรู้สึกว่า เออ สนุกดีว่ะ การไม่ต้องคิดอะไรเยอะ การที่เราคุยคอนเซปต์ให้จบแล้วก็เริ่มทำมันสนุกมากเลย

ตน: แต่สิ่งนี้ขอแชร์นิดนึงว่ากว่ามาถึงจุดนี้ได้มันนานนะครับ หมายถึงว่าช่วงที่หายไปก็คิดว่า ผมทำมา 3 ปีแล้ว อยากแมส อยากทำเพลงแมส แล้วเพลงแมสมันคือยังไง เมโลดี้แบบนี้ ประมาณนี้ ต้องเป็นเพลงแบบนี้ แล้วสุดท้ายทำไปทำมาก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ กลายเป็นว่าจากคิดเยอะที่สุดกลายเป็นคิดน้อยที่สุด ทำในสิ่งที่ชอบที่สนุก ก็เลยกลายเป็นเพลงนี้

อัด: แบบ เออเอาเลย ไม่ต้องคิดแล้ว เอาแบบที่อยากทำอะ

ตน: ใช่ แต่กว่าจะมาเป็นแบบนี้ได้ก็ถกเถียงกันนานอยู่นะ (หัวเราะ)

แนวเพลงอื่นๆ ที่อยากลองทำบ้าง
อัด: ก็มีนะที่เลือกๆ ไว้ว่าอยากทำ แต่ว่าก็กำลังค่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ คือหลังๆ เราเลิกคิดไปแล้วว่าเพลงแมสจะต้องเป็นยังไงอะ พอเราก้าวผ่านจุดนั้นว่า เอ๊ะ เราทำเพลงเพื่ออะไร ก็เลยรู้สึกว่า แค่อยากทำเพลงแบบที่เราอยากทำ แบบที่เรารู้สึกว่าชอบฟังแล้วเราอยากสื่อสารมันออกไปมากกว่ากลับมาคิดว่าเราต้องทำเพลงแมส หรืออินดี้หรืออะไร เราแค่รู้สึกว่าทำเพลงที่มันเป็นเรา เพลงที่มาจากเราจริงๆ มากกว่า ซึ่งมันก็มีอีกหลายอย่างที่เราอยากทำ ก็เดี๋ยวต้องรอฟังในอัลบั้มนี้

ตน: มีเยอะเลย หลายแนว เพราะเมื่อก่อนเวลาทำ mints ก็จะมีความคิดว่า mints ต้องเป็น alternative pop mints ต้องมีความสับสน มีความเป็นเด็กที่อยากโตอะไรแบบนี้ จริงๆ ในอัลบั้มนี้ก็มี แต่ว่าก็ไม่ได้ตีกรอบชัดขนาดนั้น

มีอะไรใหม่ๆ ที่แฟนๆ จะเซอร์ไพรส์ในอัลบั้มนี้บ้างไหม
ตน: คือจะบอกว่าพวกผมก็เซอร์ไพรส์กันเองครับ ทำไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เดาไม่ได้เหมือนกัน

อัด: ด้วยความที่เราโตขึ้นครับ เราก็จะมองอะไรกว้างขึ้นมั้ง ผมรู้สึกว่าตัวผมเองก็จะมีมิติที่มันกว้างกว่าเดิม จากที่เมื่อก่อนอาจจะนิยามตัวเองว่าเป็นเด็กที่สับสนในตัวเอง ลังเล แต่วันนี้มันมั่นใจขึ้น และมันไม่จำเป็นต้องมีอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องยึดว่านี่คือเราอะ เราเปลี่ยนทุกวินาที เพราะฉะนั้นเหมือนกับว่า ณ ตอนนั้นอะไรที่เป็นเรา ก็คือสิ่งนั้นแหละ แต่ผมว่าก็คงมีรากของมันอยู่นะ หมายถึงว่ามันก็คงไม่ใช่อะไรก็ได้ไปเลย มันยังคงมีความเป็นเราเพียงแต่ว่าเฉดสีต่างๆ ก็คงเปลี่ยนไปตาม ณ เวลานั้นครับ

ตน: อิสระมากขึ้นครับ ไม่มีกรอบละ

อัด: กลับมาที่คำถามว่ามีอะไรใหม่ๆ บ้างไหม จริงๆ มันก็เป็นเพลงแรก แล้วคิดว่าชุดนี้ส่วนมากจะเป็นดนตรีสด คือที่ผ่านมา mints จะค่อนข้างใช้ดนตรีแบบสังเคราะห์

ตน: เป็นอะไรที่มันกดในคอมได้ แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกที่ได้อัดจริง ใช้กลองจริง เบสจริง

อัด: ซึ่งความรู้สึกมันก็จะเปลี่ยน ผมรู้สึกว่ามันจะรู้สึก pure มากขึ้น ดูจริงใจมากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราอยากให้คนรู้สึกแบบนั้น เราอยากให้เขารู้สึกว่ามันคือสิ่งที่พูดมาจากใจจริงๆ

ตน: น่าจะสนุกกว่าอัลบั้มเก่าขึ้นเยอะครับ สนุกในที่นี้หมายถึงคนฟังน่าจะได้เจออะไรหลายๆ แบบในอัลบั้มที่เดาไม่ได้

อัด: รวมไปถึงเนื้อเพลงต่างๆ เราก็พยายามที่จะไม่พูดเรื่องความรักอย่างเดียว เราอยากจะพูดในประเด็นสังคมหรืออะไรที่สามารถพูดแทนเด็กเจเนอเรชั่นนี้ได้ กับปัญหาที่เขาได้เจอ เราก็เลยคิดว่าอยากจะเป็นตัวแทนในการพูดสิ่งนี้ด้วย

ตน: กรอบของอัลบั้มนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่พี่อัดพูดแหละครับ แบบว่าคีย์คอนเซปต์ของเราคือพูดในสิ่งที่เป็นตัวแทนของเพื่อนๆ

อัด: ปัญหาที่ตัวเราเองก็เจอ ปัญหาที่เด็กๆ เพื่อนๆ เรากำลังเจอด้วยครับ มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของเราอยู่เหมือนกัน

การออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นสังคมต่างๆ รับมือกับกระแสตอบรับกันอย่างไร
ตน: จริงๆ ก็ยังต้องมีกรอบของตัวเองอยู่ เพราะยอมรับตามตรงว่าที่บ้านค่อนข้างไม่ค่อยอยากให้พูดถึงเรื่องนี้ แต่ผมทำเท่าที่ตัวเองสามารถทำได้ เช่น บริจาคเงิน หรืออะไรที่แบบไม่มีปัญหากับที่บ้าน เพราะเราก็อยากช่วยด้วย ซึ่งกระแสที่มามันก็เป็นกระแสที่ค่อนข้างโอเค จะมีแง่ลบก็แค่มีคนทักมาหาครอบครัว ที่เป็นผู้ใหญ่ว่าทำไมปล่อยให้ลูกทำแบบนี้ ซึ่งอันนี้ผมก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันได้ คือหลายๆ คนก็น่าจะเคยเจออะไรแบบนี้ แต่ก็แค่เสียงเราอาจจะดังกว่าคนอื่น ถามว่าผมโอเคไหมกับสิ่งที่ผมกำลังสื่อสารในเลเวลประมาณนี้ ผมโอเคนะ ผมแฮปปี้ ถึงอาจจะมีปัญหาบ้างแต่ว่าก็ถึงเวลาที่ต้องฟัง ถึงเวลาที่ต้องพูดได้แล้ว อันนี้ในมุมของผม

อัด: สำหรับผมถามว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไหม ถ้ามีก็อาจจะเป็นแค่เรื่องงานบางส่วนที่พอเราออกมามีจุดยืนแบบชัดๆ มันก็มีผลต่อบางกลุ่มที่เขาขอยกเลิกงาน อะไรแบบนี้ก็มีบ้าง แต่ถามว่าเราโอเคไหม ผมโอเคนะ เพราะผมรู้สึกว่าที่ผ่านมาบางครั้งสังคม บังคับให้เราต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่ได้เชื่อแบบนั้น มาจนถึงวันนี้ทุกอย่างมันกำลังเปลี่ยน ผมก็แค่อยากจะยึดมั่นในจุดยืนของตัวเอง แล้วก็อยากจะเปลี่ยนค่านิยมที่มันเกิดขึ้นในสังคมว่าการที่คุณเป็นคนในวงการบันเทิง การที่คุณมีสปอตไลท์ คุณห้ามแตะเรื่องการเมือง

ผมรู้สึกว่าการเมืองเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตของทุกคนอยู่แล้ว คุณต้องอย่าลืมว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะศิลปิน นักแสดง นักร้อง นักดนตรีหรืออะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่คุณมีบทบาทคือคุณเป็นพลเมือง เพราะฉะนั้นพลเมืองมีสิทธิ์ที่จะใช้สิทธิเสรีภาพของตัวเองในการแสดงออกทางจุดยืน และผมรู้สึกว่าไม่อยากให้อำนาจที่มันผูกขาดกับอะไรก็แล้วแต่มากดว่าคนในวงการห้ามพูด ผมว่าการที่ผมออกมาพูดมันก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างเกิดขึ้น ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ในแง่บวกก็จะมีคนที่ไม่เคยรู้จักเรามาก่อนก็มาติดตามเรา เราก็ต้องขอบคุณคนกลุ่มนี้มาก เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันมีราคาที่ต้องจ่ายจริงๆ มันคือมีสิ่งที่ต้องแลก แม้ว่าคนที่มาติดตามเราเขาจะไม่ได้มีงานมาให้แต่เราได้กำลังใจจากเขา เราได้สิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่มากกว่าตัวเงินที่เราจะได้จากงาน มันคือการที่เขามาติดตามผลงานเรา ซึ่งมันคุณค่าทางใจ เติมเต็มเรามาก ในแง่ลบเราอาจจะเสียผลประโยชน์ทางการงานแต่ท้ายที่สุดแล้ววันนี้มันก็คือจุดเริ่มต้น ผมยอมที่จะแลกบางอย่าง ยอมที่จะไม่มีงานวันนี้ เพื่อหวังว่าวันหนึ่ง ถ้าทุกคนออกมาด้วยกัน มันจะเปลี่ยนแปลงได้ ในวันหนึ่งทุกคนจะสามารถพูดเรื่องการเมืองได้ไม่ว่าจะคิดเห็นแบบไหนก็ตาม หวังว่ามันจะไปถึงตรงนั้นครับ

อะไรเป็นจุดที่ทำให้รู้สึกว่าเราต้องออกมาพูดเรื่องนี้
อัด: อย่างที่บอกว่าพอเราเห็นข่าว เราเห็นความอยุติธรรมที่มันเกิดขึ้นในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้กฏหมายที่เรารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม การที่มันเกิดคอรัปชั่นอย่างที่เห็นได้ชัด หรือว่าเรื่องของการใช้อำนาจที่มันเกิดขอบเขต เมื่อเราเห็นสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่อาจจะนิ่งเฉยกับมันได้ในฐานะประชาชน เราก็เลยรู้สึกว่าต้องออกมาพูดอะไรบางอย่าง เราต้องออกมาช่วยเปล่งเสียงของเราที่มันมีคนติดตามอยู่ว่า ทุกคนออกมาพูดกันเถอะ ผมรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงมันทำคนเดียวไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนมีเสียงของตัวเองอยู่ และเสียงของทุกคนเป็นเสียงที่สำคัญและมีความหมายเท่ากัน มันมีคนเปิดแล้วก็อยากให้ทุกคนช่วยกันพูดต่อ อย่างผมเองผมก็ไม่ได้ออกมาเป็นคนแรกๆ ก็มีพี่ๆ ในวงการบันเทิงที่เขาสู้มาก่อนผมอีก สู้มายาวนาน และเขาก็ผ่านอะไรมาเยอะ เพราะฉะนั้นในวันนี้ผมก็รู้สึกว่า เออ มันต้องไปต่อ มันต้องช่วยกัน ก็เลยเป็นเหตุผลที่เราเลยเต็มใจที่จะออกมา แค่รู้สึกว่าเราทนเห็นอยุติธรรมที่มันเกิดขึ้นในสังคมต่อไปไม่ได้เท่านั้นเอง เราแค่อยากเปลี่ยนแปลงมันครับ

ต้นหนกับแฟชั่นกระโปรง
ตน: ผมก็พูดตรงๆ ว่าผมไม่ใช่ผู้เริ่มเทรนด์ ผมก็ทำตามไอดอลที่ผมชอบ อย่าง Matty The1975 และ Harry Style ผมก็เสพย์เพลงและไลฟ์สไตล์ของพวกเขาเลยรู้สึกว่าอยากทำบ้าง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นประเด็นหรืออะไรขึ้นมานะ เพราะก็รู้สึกว่าฝรั่งเขาก็ทำกันมานานแล้วอะ เกาหลีเขาก็ทำกัน เขาใส่กระโปรงกันมานานแล้ว ผมก็ไม่ได้จะรันวงการเลยคิดว่าเป็นเรื่องปกติ พอมาทำที่ไทยก็คงยังไม่ปกติจริงๆ

แต่เอาจริงๆ ตอนนี้ผมก็ต้องเวทเรื่องนี้ให้ดีเพราะว่าบางทีเราก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป สังคมไทยหลายๆ คนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ขอแชร์นิดนึงว่าอยากมีแฟนคลับผู้ชายมากขึ้น ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจกับการใส่กระโปรง แต่สิ่งที่มัน normalize มากขึ้นคือการทาเล็บ คือเรื่องเล็บเนี่ยผมว่ามันมาไกลกว่าการใส่กระโปรง แต่กระโปรงก็ค่อยๆ มาแหละ แค่ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะสามารถใส่ได้ 100% ถ้าถามว่าผมจะเลิกใส่ไหม ก็ไม่นะ แต่ในซิงเกิ้ลใหม่ผมก็อยากจะมีลุคที่ดูเท่ขึ้น ที่ผ่านมาผมดูหวาน ดูเป็นน้อน เป็นไอ้ต้าว (หัวเราะ) ผมก็เลยอยากดูเท่มากขึ้น อย่างพี่อัดจะดูเท่อยู่แล้ว พอผู้ชายเห็นจะหมั่นไส้ผมมากกว่า (หัวเราะ) ดูเยอะอะ ผมเลยรู้สึกว่า เออ ลดเลเวลลงมานิดนึง คือเราก็อยากมีแฟนบอยมากขึ้น และเราก็รู้สึกว่าในอุตสาหกรรมดนตรีแฟนบอยก็สำคัญ อย่างตัวผมเองถ้าชอบวงไหนคือจะคลั่งมากเลย มีความ loyalty ค่อนข้างสูง แล้วก็เรารู้สึกว่าในเพลงที่เราอยากจะทำอะ เราอยากจะมีความเป็นหัวหน้าแก๊ง มีความเป็นเพื่อนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้เขาคงไม่อยากเป็นเพื่อนผมอะ เพราะผมดูขนาดนี้อะ (หัวเราะ) เลยรู้สึกว่าในเรื่องนี้เราก็ต้องเวทให้ดีครับ

แต่ก็มีฟีดแบคจากผู้ใหญ่บ้างนะ เขาก็ไม่ค่อยเก็ตกันเท่าไร (หัวเราะ) แต่ผมก็ว่ามันก็เป็นเรื่องปกติอะครับ อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในเพลงถึงเวลาฟังที่ใช้เล่าได้นะ เรื่องสไตล์การแต่งตัวอะไรพวกนี้ ฟังผมได้แล้ว สมัยนี้ไม่ได้มีแต่ผู้ชายต้องใส่กางเกง ห้ามทาเล็บนู่นนั่นนี่นะ อันนี้ก็เป็นเรื่องของ generation gap ที่วง mints อยากจะสื่อสารเหมือนกัน

ฝากถึงแฟนคลับที่อ่านบทสัมภาษณ์นี้
อัด: อย่างแรกเลยก็อยากฝากเพลง ถึงเวลาฟัง ครับ เป็นเพลงที่เราคิดว่าเราอยากส่งให้กับทุกคนฟัง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยไหน คุณจะเป็นใคร เราอยากให้ทุกคนได้ฟังเพลงนี้ แล้วผมเชื่อว่าเพลงนี้น่าจะสะกิดบางอย่างในใจ แล้วก็รู้สึกว่าจริงๆ ก็อยากเป็นกำลังใจให้กับเด็กๆ น้องๆ เพื่อนๆ ทุกคนที่ออกมาต่อสู้กับสิ่งที่เป็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ ผมอยากบอกผู้ใหญ่ทุกคนว่ารับฟังเด็กได้แล้ว ก็เป็นสิ่งที่อยากจะบอก แล้วก็ฝากเพลงนี้ ถึงเวลาฟัง ฝาก MV ด้วยนะครับ

ตน: ส่วนผมก็อยากจะฝากให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เจอปัญหา คือพี่อัดพูดเรื่องปัญหาสังคมไปแล้ว ผมก็ขอพูดเรื่องที่บ้าน บางทีอาจจะมีปัญหาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นที่บ้าน ความไม่เข้าใจกันระหว่างวัย เช่น อย่างที่ผมบอก เรื่องการแต่งตัวอะไรอย่างนี้ ถ้าคุณเจอเรื่องอะไรแบบนี้มา เรื่องของการฟัง เรื่องของการเข้าใจ น่าจะอินได้ไม่ยาก แล้วอยากให้รู้ว่ามีเรา วง mints เป็นเพื่อนครับ

อัด: สุดท้ายอะไรที่ไม่ดีมันก็แค่ต้องยอมรับแล้วก็เปลี่ยนแปลงมันเพราะว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่ต้องฟังกันครับ

 

Interview: Nichkamon Boonprasert

Photography: Tanisorn Vongsontorn