#Girlsread: ท่องเวลาไปในโลกอนาคตที่ไม่มีความลับกับซีรีส์นิยายขายดี Chaos Walking

จะเป็นอย่างไร ถ้าเราต้องได้ยินเสียงความคิดของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา?

อารมณ์คล้ายๆ กับการอ่านใจได้ในนิยายแฟนตาซีที่เคยอ่านกันมาก่อน เพียงแต่ว่าการได้ยินเสียงคิดนั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ต่อให้ไม่อยากฟังแค่ไหนก็ต้องฟังอยู่ดี เรื่องแบบนี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้นจริงในโลกภายใน 10-20 ปีนี้หรอก แต่ก็ไม่แน่นะ เมื่อโลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ก็อาจจะมีสิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างในนิยายชุดไตรภาค Chaos Walikng เกิดขึ้นก็ได้

The Knife of Never Letting Go หรือชื่อภาษาไทยคือ มีดของท็อดด์ เป็นเล่มแรกของซีรีส์หนังสือไตรภาคเรื่อง Chaos Walking ที่เขียนโดย Patrick Ness (เจ้าของผลงาน A Monster Calls) โดยหนังสือเล่มนี้เล่าถึงเรื่องราวใน New World โลกอนาคตดิสโทเปียที่มีเชื้อโรคระบาดทำให้ทุกคนได้ยินเสียงคิดของกันและกัน แม้กระทั่งเสียงของสัตว์ด้วยก็ตาม โลกที่ไม่มีความลับแต่เสียงคิดนั้นผู้ชายจะไม่สามารถได้ยินของผู้หญิงได้เลย สิ่งที่เด็กทุกคนในเมืองเพรนทิสทาวน์ถูกสอนมานั่นคือเชื้อโรคที่ว่านี้คร่าชีวิตของเหล่าหญิงสาวในเพรสทินทาวน์จนหมดสิ้น เช่นเดียวกันกับเด็กชายคนหนึ่งชื่อ ท็อดด์ ฮิววิตต์ อายุ 12 ปีกับอีก 12 เดือนที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอีก 1 เดือนข้างหน้า (1 ปีในเพรนทิสทาวน์มี 13 เดือนน่ะ) เด็กชายที่จะเป็นผู้ใหญ่คนสุดท้ายของเพรนทิสทาวน์ เด็กชายที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้ผ่านการบอกเล่าและสั่งสอนจากชาวเมือง เด็กชายที่ยังไม่ทันจะได้เป็นผู้ใหญ่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องรีบหนีออกไปจากเมืองให้เร็วที่สุด โดยการหนีของท็อดด์ในครั้งนี้ มีแมนชี่ เจ้าหมาที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดและบันทึกของแม่ที่บอกเรื่องราวทุกอย่างก่อนที่จากไปนั้นติดตัวเขาไปด้วย

ท็อดด์และแมนชี่ต้องหนีการไล่ล่าจากนายอำเภอเพรนทิสทาวน์ไปยังเมืองอื่นเพื่อความปลอดภัยในตัวเอง ระหว่างนั้นก็ได้พบ ไวโอล่า ผู้หญิงคนแรกที่ท็อดด์เคยเห็น และดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการหนีครั้งนี้เหมือนกัน การหนี การต่อสู้และการไล่ล่าทำให้ท็อดด์ได้เรียนรู้โลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไปกว่าเพรนทิสที่เขาเคยเรียนรู้มาตลอดชีวิตอีกด้วย

สำหรับตัวหนังสือ อ่านไปช่วงแรกๆ อาจจะน่าเบื่อไปสักหน่อยเพราะเราเองก็อาจจะไม่ชินกับการได้ยินเสียงคิดของตัวละครที่ออกมา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการบรรยายความคิดเหมือนกับนิยายเล่มอื่นๆ ก็ตาม แต่หลังจากช่วงที่ท็อดด์ แมนชี่ และไวโอล่าต้องหนีเพื่อเอาตัวรอดจากอันตรายที่ติดตามพวกเขามาแล้วก็ทำให้วางหนังสือไม่ลงเลย  การอ่านหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างใช้พลังอยู่มากเลยทีเดียว เพราะทุกตัวอักษรทำให้เรารู้สึกเหมือนร่วมเดินทางไปกับท็อดด์ ไวโอล่า และแมนชี่ อ่านแล้วชวนให้ลุ้นตลอดเวลาว่าในหน้ากระดาษถัดไปที่เรากำลังจะเปิดไปอ่านนั้นจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ราวกับว่าไปร่วมวิ่งกับทั้งสามคนเลยล่ะ

นอกจากจะลุ้นจนเหนื่อยไปในทุกๆ บทแล้ว นิยายเรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องของชนชั้น การเหยียดชาติพันธ์ุ หรือแม้กระทั่งในเรื่องของเพศที่ดูเหมือนผู้หญิงในเรื่องจะมีอิทธิพลเหนือกว่า (เห็นได้จากการล่วงรู้ความคิดที่ผู้ชายไม่อาจทำแบบนั้นกับผู้หญิง) แม้จะแอบคิดนิดหน่อยว่าการดำเนินอยู่ของเพรนทิสทาวน์นั้นเป็นเพราะระบอบชายเป็นใหญ่ก็ตาม

Chao Walking ได้ชื่อว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนแนวดิสโทเปียที่ได้รับความนิยมสูงสุดเรื่องหนึ่งเลย แต่ส่วนตัวก็รู้สึกว่าค่อนข้างเป็นหนังสืออ่านยากใช้ได้ และหากไม่สามารถอดทนช่วงที่น่าเบื่อไปได้ก็อาจจะไม่ได้ค้นพบความสนุกของเนื้อเรื่องที่ซ่อนอยู่ในบทถัดไป สำหรับเหล่านักอ่านที่ชื่นชอบแนว sci-fi ก็ไม่อยากให้พลาดเรื่องนี้ไปนะ หรือถ้าอยากรู้เรื่องราวของท็อดด์แต่ไม่ได้เป็นสายนักอ่านขนาดนั้นก็ลองเปลี่ยนไปผจญภัยกับท็อดด์ในรูปแบบของภาพยนตร์แทนก็ได้นะ เท่าที่ดูจาก Trailer แล้วเนื้อหาก็คงไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร

The Knife of Never Letting Go กำลังจะเข้าโรงภาพยนตร์ในวันพรุ่งนี้ (11 มีนาคม) ในชื่อเรื่อง Chaos Walking จิตปฏิวัติโลก ที่นำแสดงโดย Tom Holland, Daisy Ridley, Mads Mikkelsen และ Nick Jonas อย่างที่บอกไปว่า Trailer ที่ปล่อยออกมาสามารถทำให้เรานึกถึงฉากต่างๆ ที่อ่านในหนังสือได้เลย อาจจะไม่ได้แตกต่างและแหวกแนวจากในเล่มมากมายนัก แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ในหนังสือเราก็จะจินตนาการเป็นเสียงเสียมากกว่าแต่ในความเป็นจริงแล้วเสียงคิดไม่ได้มีแค่เสียงเท่านั้น แต่ยังมีภาพที่ทำให้เราสามารถเห็นความคิดของคนอื่นได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างอีกด้วย ถ้าอยากรู้ว่าการได้เห็นและได้ยินเสียงคิดนั้นมันน่าประหลาดใจขนาดไหนก็คงต้องไปติดตามดูฉบับภาพยนตร์ในชื่อเรื่อง Chaos Walking กันแล้วล่ะ

 

written by: Nichkamon Boonprasert