คุยกับ Megan Hess แฟชั่นอิลลัสเตรเตอร์ระดับโลกผู้สร้างสรรค์แคมเปญล่าสุด Jaspal x Megan Hess

เมแกน เฮส … พูดถึงชื่อของสาวสวยคนนี้แล้ว คุณอาจจะยังนึกไม่ออก แต่เชื่อว่าผลงานของเธออาจจะเคยผ่านตาคุณมาแล้วโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะเธอคือศิลปินอิลลัสเตรเตอร์ระดับโลกผู้ออกแบบปกหนังสือ Sex and the City ของแคนเดซ บุชเนลล์ ในปีค.ศ. 2008 และได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Givenchy, Dior, Chanel, Louis Vuitton, Montblanc, Cartier, Chopard, Tiffany & Co. และอื่นๆ อีกมากมาย และล่าสุดนี้เธอคือศิลปินที่ยัสปาล (Jaspal) เชิญมาคอลลาบอเรทคอลเลกชั่นพิเศษ Jaspal x Megan Hess ซึ่งในโอกาสที่เธอบินจากเมลเบิร์นมาร่วมงานเปิดตัวคอลเลกชั่นนี้เองที่เราได้คุยกับเธอแบบเอ็กซ์คลูซีฟ

คุณอยู่เมลเบิร์น แต่ทำงานกับแบรนด์จากเมืองใหญ่ทั่วโลก ทั้งปารีส นิวยอร์ก และลอนดอน คุณบริหารเวลาอย่างไร?

“มันไม่ง่ายเลยค่ะ เพราะฉันมีลูกสองคน และปีนี้เป็นปีที่ยุ่งมาก ปกติแล้ว ฉันจะเน้นรีบไปรีบมา เพราะมันยากเลยล่ะที่ต้องห่างบ้านไปเป็นอาทิตย์ ฉันก็เลยเน้นทริปสั้นๆ เป็นหลัก ฉันว่ามันเป็นเรื่องของทีมเวิร์กด้วยค่ะ ฉันมีคนในทีมอีก 10 คนที่ช่วยงานฉันจากสตูดิโอ ปกติแล้ว เราจะมีโปรเจ็กต์กับแบรนด์ลักชัวรี่ประมาณ 10-15 โปรเจ็กต์ต่อปี ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของการบริหารเวลานะ โชคดีที่ฉันมีทีมงานที่เก่งในเรื่องนี้มาก มันไม่ง่ายแต่มันเป็นงานที่ฉันรัก ฉันเลยทำให้ดีที่สุดให้มันเวิร์กค่ะ”

คุณทำงานกับแบรนด์และผู้คนมากมาย ทำอย่างไรถึงได้มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา?

“ด้วยความที่ต้องครีเอทีฟตลอดเวลา ฉันมักจะคิดหาไอเดียใหม่ๆ ตลอดโดยอัตโนมัติค่ะ จริงๆแล้วแทบจะหยุดคิดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เวลาไปพักผ่อน ฉันก็กลายเป็นต้องพยายามไม่คิด ซึ่งก็ยากมากเพราะมันเป็นธรรมชาติของฉัน เหมือนฉันถูกออกแบบมาให้คิดสร้างสิ่งต่างๆตลอดเวลา อย่างตอนนี้ฉันคุยกับคุณอยู่ เห็นผนังข้างหลัง ฉันก็เริ่มคิดแล้วว่าฉันจะวาดอะไรได้บ้าง (หัวเราะ) แต่ดีที่แต่ละแบรนด์ก็จะมีเอกลักษณ์หรือจุดเด่นไม่เหมือนกันค่ะ ฉันมักจะเริ่มจากตรงนั้น เพราะเอกลักษณ์ของพวกเขามักเป็นสิ่งที่คนชอบอยู่แล้ว อย่างยัสปาล ฉันมองเห็นความสนุกสนาน ความสุข ความเป็นวัยรุ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะสะท้อนออกมาผ่านงานของฉันด้วยค่ะ”

เล่าถึงคอลเลกชั่นนี้ให้เราฟังหน่อยได้ไหม?

“คอลเลกชั่น Jaspal x Megan Hess เป็นเรื่องของการฉลองค่ะ ช่วงสิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่คนฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เป็นเทศกาลแห่งความสุข เป็นเวลาที่เราท่องเที่ยวหรือใช้เวลาสังสรรค์กับเพื่อน มีความสุขกับชีวิต นั่นคือจุดเริ่มต้นของการออกแบบคอลเลกชั่นนี้ และฉันว่าเราสามารถสะท้อนอารมณ์เหล่านี้ออกมาได้หลายรูปแบบ ทั้งในมุมของแฟชั่น การท่องเที่ยว รวมไปถึงเรื่องสไตล์ค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าคอลเลกชั่นนี้ต้องมีคลาริส เดอะ เมาส์ (Claris the Mouse) อยู่ด้วย จริงๆแล้วคลาริสเป็นคาแร็กเตอร์ที่ฉันออกแบบมาให้สำหรับเด็กค่ะ หนึ่งในความฝันของฉันคือฉันอยากทำหนังสือเด็ก แต่ยังไม่มีโอกาสสักที แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าคลาริสไม่ใช่คาแร็กเตอร์สำหรับเด็กเท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงกับผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ได้ด้วย เพราะเธอเป็นหนูที่สนุก รักแฟชั่น ซึ่งคาแร็กเตอร์ที่เชื่อมโยงคนสองรุ่นได้แบบนี้เป็นสิ่งที่ยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่

และฉันก็ดีใจที่คลาริสเป็นแบบนี้ ช่วงหลังๆ เธอไปไกลถึงระดับโลกแล้ว แต่เธอก็ยังไม่เคยมีผลงานที่เมืองไทย คราวนี้เราก็เลยอยากให้เธอมาทำอะไรสนุกๆด้วยค่ะ”  

คุณดูจะชอบแฟชั่นมาก บอกได้ไหมว่าทำไมคุณถึงหลงรักโลกแฟชั่น?

“ฉันชอบแฟชั่นตรงที่มันเปลี่ยนไปตลอดเวลา พัฒนาไปตลอดเวลาค่ะ สำหรับฉันแล้ว แฟชั่นไม่ควรทำให้เราเครียด หรือตั้งกฎให้เราต้องทำตามตลอดเวลา มันควรเป็นสิ่งที่เราสามารถสนุกกับมันได้ ซึ่งฉันก็ชอบมองเทรนด์ต่างๆ ที่ผ่านมาและผ่านไปนะ เทรนด์ไหนที่ฉันชอบ ฉันก็จะดึงมันเข้ามาในโลกของฉัน ฉันว่าแฟชั่นไม่ควรเป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของเราทำเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่เข้ามาเพิ่มความสนุกและความสุขให้เราค่ะ”

คุณยังจำได้ไหมถึงวินาทีแรกที่คุณได้รู้จักกับโลกแฟชั่น?

“ตอนเด็กๆ ฉันก็ไม่ได้ชอบแฟชั่นขนาดนั้นหรอกนะคะ แต่ถ้าถามว่าวินาทีแรกที่รู้จักคำว่าแฟชั่น น่าจะเป็นตอนที่ฉันได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Breakfast at Tiffany’s ตอนเป็นเด็ก ที่มีออเดรย์ เฮปเบิร์นในชุดลิตเติล แบล็ก เดรส ฉันจำได้ว่าฉันถามพ่อว่านั่นเธอใส่ชุดจากไหนน่ะ พ่อฉันบอกว่าเป็นชุดของดีไซเนอร์คนหนึ่งที่ชื่อว่าจีวองชี่อะไรนี่แหละ และจีวองชี่ก็เลยกลายเป็นดีไซเนอร์คนแรกที่ฉันรู้จัก และทำให้ฉันสนใจเรื่องแฟชั่น ฉันเขียนเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเล่มล่าสุดของฉันที่ชื่อว่า Elegance: The Beauty of French Fashion ด้วยค่ะ”

คุณจำได้ไหมว่าตอนเด็กๆคุณฝันอยากจะทำอาชีพอะไร?

“ฉันไม่ได้อยากเป็นอะไรเป็นพิเศษนะคะ รู้แค่ว่าฉันชอบวาดรูป และฉันก็อยากจะวาดให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ตอนโต ตอนนั้นฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นอาชีพได้ พอโตมา ก็เลยทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ แล้ววาดรูปช่วงสุดสัปดาห์เป็นงานอดิเรก ต่อมา ฉันก็ค้นพบว่าฉันสามารถทำงานเป็นแฟชั่นอิลลัสเตรเตอร์ได้ ซึ่งนั่นก็กลายเป็นส่ิงที่มีค่าที่สุดสำหรับฉันเลยนะคะ การมีคนมาจ้างให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันรักเนี่ย ฉันโชคดีมาก”

ปกติแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ในงานของคุณเป็นผู้หญิงในจินตนาการของคุณเหรอคะ?

“บางครั้ง คนก็คิดว่าผู้หญิงคนนั้นคือมารีน่า ผู้ช่วยของฉันนะคะ (หัวเราะ) แต่ไม่หรอก พวกเธอเป็นคาแร็กเตอร์ที่อยู่ในโลกของฉันเวลาฉันทำงาน ฉันวาดพอร์เทรตบ้างเหมือนกันนะ แต่ว่าไม่เยอะ เพราะงานพอร์เทรตเป็นงานที่ต้องละเอียดมาก รายละเอียดทุกอย่าง รวมถึงสัดส่วนต้องเหมือนแบบเป๊ะๆ ซึ่งเท่ากับว่าฉันต้องทำงานเพิ่มอีกเยอะเลยค่ะ ปีหนึ่งๆ ก็เลยรับได้จำกัด”

คุณคิดว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการเป็นศิลปินคืออะไร?

“พูดจริงๆนะ ฉันว่าคือเวลาค่ะ ฉันโชคดีมากที่มีงานให้ทำเยอะมาก แต่ฉันก็มีเวลาน้อยมากถ้าเทียบกับปริมาณของงานที่เข้ามา ไหนจะครอบครัวอีก แล้วฉันก็อยากจะมีเวลาที่ได้ดื่มด่ำกับงานเวลามันออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้วด้วย”

แล้วถ้าในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งล่ะ คุณมองตัวเองว่าเป็นผู้หญิงแบบไหน?

“ฉันมองตัวเองว่าเป็นผู้หญิงที่ครีเอทีฟคนหนึ่งนะ และฉันก็ภูมิใจมากที่สามารถสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาได้ ซึ่งก็ทำให้ฉันได้พบเจอกับคนดีๆ อีกมากมาย ฉันภูมิใจมากกับสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้บนเส้นทางสายนี้ และฉันก็โชคดีมากที่ได้ทำในสิ่งที่ฉันรักและเป็นแม่ไปพร้อมๆกัน ท้ายสุดแล้ว ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันค่ะ และชีวิตก็ไม่ง่ายเลย บางทีก็วุ่นวาย และยุ่งมาก ฉันชอบพูดเล่นกับสามีว่าเหมือนไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2006 แล้ว เพราะตอนนั้นเป็นตอนที่งานของฉันเริ่มจะไปได้ดี แล้วก็เป็นช่วงที่เรามีลูกคนแรก แต่ฉันก็ขอเลือกมีชีวิตแบบนี้ แทนที่จะไปนั่งเสียดายและใจตอนอายุ 80 นะว่าทำไมฉันไม่ทำแบบนี้”

คุณมีคำแนะนำให้กับศิลปินรุ่นใหม่ที่อยากเป็นเหมือนคุณไหม?

“ฉันมักจะบอกว่ามันคุ้มเสมอที่จะทำสิ่งที่คุณรัก คุณอาจจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วคุณจะไม่เสียใจทีหลังแน่นอน ส่วนเด็กๆ รุ่นใหม่ที่อยากเป็นศิลปิน ฉันก็อยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งรีบ อย่าเร่งตัวเองว่าต้องประสบความสำเร็จหรือหาสไตล์ตัวเองให้เจอ เพราะสิ่งดีๆ ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนค่ะ คุณต้องมีความอดทน และทุ่มเวลาให้กับมัน ฉันว่าศิลปินก็เหมือนนักดนตรีแหละที่ต้องอาศัยการฝึกฝน ต้องทำซ้ำๆ จนคุณค้นหาสไตล์ของตัวเองเจอ”

ท้ายสุดนี้ ช่วยอัพเดทผลงานที่เราจะได้เห็นในปีหน้าหน่อยได้ไหมคะ

“หลายอย่างมากค่ะ เพราะงานส่วนใหญ่ของฉันจะใช้เวลานานเลยล่ะกว่าจะออกมาให้เห็น บางโปรเจ็กต์เป็นปี บางโปรเจ็กต์ปีครึ่ง ปีหน้านี้คุณคงได้เห็นงานคอลลาบอเรทกับแบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ค่ะ แล้วฉันก็จะมีหนังสือคอฟฟีเทเบิลเกี่ยวกับแฟชั่นออกมาด้วย และที่พิเศษที่สุดคือโปรเจ็กต์ใหญ่ของคลาริส เธอน่าจะเป็นแฟชั่นโปรเจ็กต์ที่ใหญที่สุดแล้วที่ฉันเคยทำ ต้องรอติดตามค่ะ”