One for the Road: ความพยายามปลดเปลื้องก่อนตายของใครบางคน ที่กลับเป็นการเปิดแผลของใครอีกหลายคน

One for the Road การกลับมาสู่วงการภาพยนตร์ไทยในรอบ 4 ปีของ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ อาจจะเป็นหนังที่ “หน้าตาดีที่สุด” ตอนนี้ ทั้งการันตีด้วยรางวัล World Dramatic Special Jury Award : Creative Vision จาก Sundance 2021 ทั้งมี หว่อง กา ไว มาเป็นโปรดิวเซอร์ดูแลการสร้าง – แต่หน้าตาดีที่สุดอาจจะดีไม่พอแบบที่คุ้มค่าการรอคอยตั้ง 4 ปี 

หัวใจของ One for the Road คือการชวนเรามาตอบคำถามว่า ถ้ารู้ตัวว่าเหลือเวลาใช้ชีวิตอีกไม่นาน สิ่งที่อยากจะทำก่อนตายคืออะไร?

‘อู๊ด (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์)’ ตอบคำถามนั้นเมื่อรู้ตัวว่าเหลือเวลาใช้ชีวิตอยู่อีกไม่นานด้วยการเลือกให้เพื่อนสนิท ‘บอส (ต่อ ธนภพ)’ กลับมาจากนิวยอร์กเพื่อที่จะได้ขับรถพาเขาไป “คืนของ” ให้กับเหล่าแฟนเก่า(ส์) ตามจังหวัดต่างๆ การเดินทางของ อู๊ด และ บอส จึงเริ่มต้นขึ้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในหนัง “One for the Road” 

ถึงแม้อู๊ดจะบอกว่าอยากจะไปหาแฟนเก่าเพราะรู้ว่าการจากไปนั้นทำให้คนที่ยังอยู่ต้องเจ็บแค่ไหน แต่ในอีกด้าน โดยเฉพาะจากมุมมองของผู้หญิงอย่างเรา การกลับไปหาแฟนเก่าของอู๊ดคือการไถ่บาปให้ตัวเองเพื่อจากไปอย่างไม่มีอะไรติดค้าง มากกว่าจะทำเพื่อคนที่ยังอยู่ หลายครั้งที่การกลับไปเจอไม่ได้ช่วยสมานแต่กลับเป็นการไปเปิดแผลเก่าซะมากกว่า และคำว่า ‘เจอกันในครั้งสุดท้ายและกำลังจะตาย’ ก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้แผลของอีกคนเจ็บน้อยลง 

…เพราะถ้าอยากขอโทษจริงๆ ก็คงจะไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะไม่เหลือเวลาให้ขอโทษแล้ว

 

จากเทรลเลอร์ แฟนเก่าส์ทั้ง 3 คนของอู๊ด ไม่ว่าจะเป็น ‘อลิส (พลอย หอวัง)’ ‘หนูนา (ออกแบบ ชุติมณฑ์)’ หรือว่า ‘พี่รุ้ง (นุ่น ศิรพันธ์)’ นั้นดูจะเป็น 3 กุญแจลับที่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นแค่ส่วนประกอบบางๆ ในความพยายามปลดเปลื้องความรู้สึกผิดในอดีตของอู๊ด ที่เรายังขัดใจ (จนถึงตอนนี้) จากการถูกการปล่อยทิ้งให้สงสัยว่าจุดแตกหักของอู๊ดและแฟนเก่าแต่ละคนคืออะไร ทำไมถึงจบไม่ดีสักคน และทำไมเพิ่งจะคิดได้ว่าต้องกลับไปขอโทษก่อนหมดเวลาชีวิต 

 

**มีการพูดถึงเนื้อเรื่องบางส่วน**

ถัดจากเรื่องของอู๊ด ก็เหมือนเปลี่ยนเทปเข้าหน้า B สู่ช่วงของบอส และเป็นจุดที่ความเป็น Road Trip ก็หายไป และแทนที่ด้วยเรื่อง “เล่า” กับ “เหล้า” พร้อมๆ กับการมาถึงของ พริม (วี-วิโอเลต) ตัวละครผู้หญิงคนเดียวที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นตัวดำเนินเรื่องและเป็นตัวประกอบเรื่องราว บอสและอู๊ด จุดเริ่มต้นการเป็นเพื่อนของทั้งสองคน และทำให้เราตั้งคำถามมากมายกับทุกๆ การกระทำของตัวละครชายทั้งสองคน 

แน่นอน น้ำหนักของเรื่องจะถูกเทมาทางครึ่งหลัง กลายเป็นว่าเทปหน้า A ของอู๊ดท้ายที่สุดแล้วเป็นเหมือนแค่ intro เกริ่นยาวๆ ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องหลักในเทปหน้า B ของบอส

เราไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่ชอบมากๆ ของ One for the Road คือโปรดักชันที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังไทย ทั้งคุณภาพของภาพ (ที่อาจจะติดเหลืองเหมือนหนังของหว่อง กา ไว ไปเล็กน้อย) มุมกล้อง การเลือกเพลง การตัดต่อ และเส้นเรื่องเรียบง่าย ที่ทำให้ถึงแม้ว่าเราจะไม่ชอบความคิดบางอย่างของตัวละครก็ยังชวนให้เราอยากติดตามไปจนถึงตอนจบ องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วหนังไทยกับโปรดักชันหน้าตาอินเตอร์แบบนี้ก็ไปด้วยกันได้ดีเลยทีเดียว 

นอกจากนั้น องค์ประกอบสำคัญของ Road Trip อย่างเสียงเพลงที่เปิดเป็นเพื่อนไปด้วยกันตลอดทาง ก็เข้ากับ Mood & Tone ของหนังได้ดี ทั้งยังซ่อนกิมมิกเล็กๆ ว่าการเดินทางของทั้งสองคนก็เป็นการดำเนินเรื่องผ่านเสียงของพ่อของอู๊ด อดีตดีเจผู้ล่วงลับสลับกับเสียงเพลงที่เปิดจากเทปคาสเซ็ตเก่า 

หลายคนอาจจะบอกว่า One for the Road โปรดักชันดีเพราะส่วนหนึ่งได้รับทุนมาจากต่างประเทศด้วย จึงทำให้คุณภาพอาจจะขยับขึ้นมาจากเดิมได้ แต่ถ้าหากอยากผลักดันหนังไทยให้ไปในระดับที่ไกลกว่านี้ นายทุนทั้งหลายก็คงต้องกล้าเสี่ยงที่จะลงทุนเพื่อพาหนังไทยเดินหน้าไปในอีกระดับหนึ่ง 

พาร์ทของนักแสดง ถึงแม้จะรู้สึกว่าน้ำหนักความสำคัญของตัวละครจะไม่ค่อยเท่ากัน แต่นักแสดงทุกคนถ่ายทอดบทบาทของแต่ละคนได้อย่างดีเยี่ยม และต้องขอยกให้ ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ เป็น MVP ของเรื่องนี้ ทั้งการลงทุนโกนหัวลดน้ำหนักและการแสดงในเรื่อง ทำให้เราเชื่อหมดใจว่าคนที่เรากำลังดูอยู่นั้นไม่ใช่ ไอซ์ แต่เป็น อู๊ด ชายที่อดีตเคยรว้ายๆ แต่สำนึกถึงความผิดที่เคยทำได้และกำลังจะตายในเร็ววัน 

ให้พูดกันตามตรงก็คงรู้สึกผิดหวังกับเรื่องของบทที่ดูเหมือนตั้งใจจะเล่าเรื่องบางอย่างแต่ดันทำชิ้นส่วนขาดหายไป เลยทำให้รู้สึกว่าการเล่าเรื่องยังไปได้ไม่สุด หากเทียบกับ ‘เคาต์ดาวน์’ หรือ ‘ฉลาดเกมส์โกง’ ที่เป็นผลงานของผู้กำกับเดียวกันเราคงพูดได้เต็มปากว่าชอบบทของสองเรื่องก่อนหน้านี้มากกว่า โดยเฉพาะฉลาดเกมส์โกง ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลงาน Masterpiece ของผู้กำกับคนนี้เลยก็ได้ แต่โดยรวมของเรื่องแล้วเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจว่าถ้าหากได้ดูแล้วจะต้องประทับใจในโปรดักชั่น เส้นเรื่องและการแสดงของนักแสดงแน่นอน