คุยกับ Lyna Khoudri และ Shirine Boutella สองนักแสดงจาก Papicha ภาพยนตร์สัญชาติแอลจีเรียที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์

Papicha เรื่องราวของหญิงสาวในประเทศแอลจีเรีย ผู้ไม่ยอมทิ้งให้ความฝันของตัวเองต้องจบลงตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเพียงเพราะข้อจำกัดทางด้านศาสนาและสังคมแห่งชายเป็นใหญ่ที่เหล่าหญิงสาวนั้นไม่ได้รับความเท่าเทียมเท่ากับเพศชาย โดยเหตุการณ์เหล่านี้ต่างก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในช่วงปี 1997 ที่ถูกเปลี่ยนการนำเสนอให้กลายเป็นภาพยนตร์น้ำดีเรื่องนี้

Papicha ได้รับการันตีจากการได้รับคัดเลือกในเทศกาลภาพยนตร์ Cannes 2019 ในสาขา Un Certain Regard แถมยังมี รางวัลขวัญใจประชาชน, รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์ฝรั่งเศสเมืองอ็องกูแลม และที่สำคัญ Papicha ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar 2020 อีกด้วย ประเทศไทยของเราได้นำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้ามาฉายด้วย Lyna Khoudri (ลีนา คูดรี) และ Shirine Boutella (ชีรีน บูเตลลา) 2 นักแสดงของเรื่องก็มาร่วมรอบปฐมทัศน์ที่ Siam Paragon เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย NYLON เลยได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเธอทั้งคู่ พร้อมกับเอาบทสัมภาษณ์มาฝากทุกคน

 

เตรียมตัวในการรับบทนี้อย่างไรบ้าง

ลีนา : ฉันเคยได้ร่วมทำงานกับผู้กำกับ (Mounia Meddour – มูเนีย เม็ดดูร์) มาก่อนค่ะ ในการได้มาถ่ายหนังเรื่องนี้ ฉันก็มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องการของการเย็บเสื้อผ้า การวาดรูปเกี่ยวกับแฟชั่นด้วย และช่วงเวลาก่อนที่จะเริ่มการถ่ายทำฉันก็ได้ไปพูดคุยกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นในแอลจีเรียด้วยค่ะ เพื่อที่จะได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นและความรู้สึกของผู้คนด้วย

ชีรีน : เหมือนกันค่ะ การที่ได้ไปสัมภาษณ์ได้คุยกับคน มันทำให้เข้าใจว่าในช่วงนั้น พวกเขาใช้ชีวิตกันยังไง ความรู้สึกและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นยังไงค่ะ และช่วงเวลาที่ถ่ายทำฉันกับนักแสดงหลักอีก 4 คนเราใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน 24 ชั่วโมงเลยค่ะ เพื่อที่พวกเราจะได้สนิทกันจริงๆ เพราะในหนังเราสนิทกันมาก

ต้องศึกษาและเรียนรู้เรื่องของแฟชั่นมากน้อยขนาดไหนก่อนถ่ายทำ

ลีนา : ฉันเรียนเย็บเสื้อผ้าค่ะ ตอนถ่ายทำฉันต้องทำด้วยตัวเองเกือบทั้งหมดเลยมีแค่ฉากเดียวที่มีคนมาช่วย ถ้าคนที่ไปดูหนังมาแล้วก็จะเห็นว่าในเรื่องฉันจะต้องออกแบบชุดสำหรับแฟชั่นโชว์ชุดแรก ซึ่งชุดพวกนั้นฉันก็เป็นคนเรียนรู้แล้วก็คิดขึ้นมาเองทำมาเองค่ะ ก็จะได้เห็นเยอะพอสมควรเลย แต่ยังไม่ถึงจุดที่จะเป็นดีไซเนอร์อยู่แล้วค่ะ ด้วยความที่ในหนังตัวละครของฉันก็ยังไม่ได้ดังอะไร ยังเป็นแค่นักศึกษาอยู่เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฉันออกแบบหรือทำไปมันก็สอดคล้องกับสิ่งที่ฉันแสดงและได้เรียนรู้มาค่ะ

สิ่งที่ยากที่สุดในการถ่ายทำภาพยนต์เรื่องนี้คืออะไร

ลีนา : จริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษค่ะ ไม่ได้ยากมากหรือน้อยกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ที่ฉันเคยแสดงมาค่ะ

ชีรีน : ก็มีบ้างค่ะ มีบางฉากที่ค่อนข้างยากในการถ่าย เพราะต้องใช้ความรู้สึกเยอะ โดยเฉพาะฉากที่จะต้องทะเลาะกับกลุ่มผู้หญิงที่เข้ามาต่อต้าน ตอนที่แสดงบทนั้นฉันต้องใช้พลังค่อนข้างมากเลยค่ะ

จากที่ถ่ายทำมาชอบฉากไหนมากที่สุด

ชีรีน : ฉากที่อยู่บนชายหาดค่ะ ฉากเดียวกันกับที่เห็นอยู่บนโปสเตอร์หนังเลย มันเป็นฉากที่เพื่อนๆ จะมาสนุกกันที่ชายหาดหลังจากที่เกิดเหตุรุนแรงขึ้น เราหัวเราะกันเยอะมากเป็นความทรงจำที่ดีค่ะตอนที่ถ่ายทำฉากนี้ ไม่เครียดเลย 

ลีนา :  มีฉากหนึ่งที่ฉันค่อนข้างเครียดมากเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างรุนแรงค่ะ คือฉากนั้นฉันต้องไปดึงบีทรูทขึ้นจากดินแต่ฉันจะไม่บอกนะคะว่าทำไปทำไม คือมันก็ค่อนข้างแรงแต่ภาพที่ออกมามันก็สวยเหมือนกัน แล้วก็มีความลึกลับในเรื่องนี้ด้วย

โดยส่วนตัวแล้วมีความรู้สึกอย่างไรกับตัวละครของตัวเองบ้าง คิดว่าสิ่งที่ตัวละครของตัวเองมีการทำถูกหรือผิดอย่างไรกับการต่อต้านขนบธรรมเนียมเพื่อเดินตามความฝันของตัวเอง

ลีนา : ฉันค่อนข้างประทับใจในความกล้าหาญ ความกล้าที่จะต่อสู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครของฉันอย่าง เนดจ์มา (Nedjma) ค่ะ แต่ในเวลาเดียวกันฉันก็เป็นห่วงค่ะ เพราะถ้าฉันเจอหรือเป็นเพื่อนในชีวิตจริง ก็จะบอกเธอว่า ให้ระวังตัว เพราะเธอกำลังจะไปผจญกับความเสี่ยงที่สูงมาก เกินที่ผู้หญิงคนหนึ่งควรจะเผชิญค่ะ แต่ว่าคาแรกเตอร์ของเนดจ์มาก็ไม่ค่อยเหมือนกับฉันเท่าไหร่นะคะ

ชีรีน : ตัวละครของฉัน วัซซิลา (Wassila) มีบางอย่างที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับตัวฉันค่ะ คือเป็นคนที่เวลารักอะไรแล้ว ก็จะทุ่มเทให้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เธอเลือกทำจะถูกเสมอไป มันก็มีตัวเลือกมีบางอย่างที่ผิดไปบ้าง แต่โดยรวมก็มีความทุ่มเทเป็นตัวนำค่ะ

อยากบอกอะไรกับคนที่มีความฝันแต่ไม่กล้าจะลงมือทำเพราะว่ามีข้อจำกัดบางอย่างไหม

ลีนา : ต้องไปดูปาปิชาค่ะ (หัวเราะ)

คิดว่าภาพยนต์เรื่อง “ปาปิชา” จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่มาดูได้ยังไง

ปาปิชา เป็นหนังที่ให้แรงบันดาลใจแล้วก็ให้พลังค่ะ เป็นเหมือนฮีโร่คนหนึ่งที่อยากจะผลักดันเราให้สำเร็จ ดึงเราไปด้วยกัน  ทั้งแสดงให้เห็นว่าขนาดเรามีปัญหากับเพื่อนหรือเจอเหตุการณ์ยังไง ก็ยังมีคนที่อยู่เคียงข้างเราคนที่คิดเหมือนเราและเชื่อในตัวเราว่ากล้าหาญด้วย ประมาณนั้นค่ะ

รู้สึกอย่างไรบ้างที่ภาพยนต์เรื่องนี้ได้เข้าชิงรางวัลในออสการ์

ตอนแรกแทบไม่เชื่อด้วยซ้ำค่ะ แต่ก็ดีใจที่ถูกส่งไป เราก็จะพยายามสู้ให้มากที่สุดเพราะว่าในสาขานั้นก็มีหนังใหญ่ๆ อย่าง Parasite อยู่ด้วยเหมือนกัน แล้วที่ดีใจอีกอย่างหนึ่งคือ ที่อเมริกาเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับหนังที่คอยจัดอันดับอยู่ด้วยค่ะ ว่าหนังเรื่องไหนจะได้เข้าชิงหรือไม่ได้บ้าง ซึ่งหนังของเราก็อยู่ประมาณอันดับที่ 6 จากหนังทั้งหมด 90 เรื่องที่ได้เข้าชิง อันดับมันค่อนข้างดีก็เลยรู้สึกว่ามีความหวังค่ะ

ผลตอบรับหลังจากที่ได้ไปฉายที่เทศกาลหนังเมืองคานส์เป็นยังไง

ลีนา : แทบไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ มันเป็นเหมือนความฝันเลย หลังจากที่หนังฉายจบในงานก็มีคนลุกขึ้นปรบมือให้นานกว่า 10 นาทีและมีหลายคนที่ร้องไห้ด้วย ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้ดูหนังมาก่อนด้วยค่ะ เป็นครั้งแรกที่ได้ดูพร้อมทุกคนก็เลยยิ่งตื่นเต้นค่ะ

ชีรีน : ตอนที่มีคนลุกขึ้นปรบมือ ฉันรู้สึกได้ถึงพลังและความอบอุ่นที่มีผู้คนอยู่รอบข้าง ฉันถือว่ามันเป็นความสำเร็จค่ะ

อยากฝากอะไรถึงคนดูภาพยนต์เรื่อง “ปาปิชา” ในประเทศไทยบ้าง

อย่างแรกคือ ขอบคุณประเทศไทยที่ให้การต้อนรับพวกเรากับทีมงานค่ะ และดีใจมากที่ได้มาแสดงภาพยนต์เรื่องนี้ให้กับคนไทยได้ดู ซึ่งเนื้อเรื่องของภาพยนต์เรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแอลจีเรียในช่วง 20 ปีที่แล้ว แต่ว่ามันก็สามารถเกิดขึ้นในศาสนาอื่น ประเทศอื่น หรือการเมืองอื่นได้เหมือนกันค่ะ ส่วนเรื่องการต่อสู้ของผู้หญิงคือผู้หญิงทุกคนก็ต่อสู้ได้นะคะ ไม่ใช่แค่ที่แอลจีเรีย พวกเราทุ่มเทความรักและพลังให้กับหนังเรื่องนี้มาก ก็หวังว่าคนไทยจะได้เห็น และขอให้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนด้วยค่ะ