Patrickananda: ฟังท่วงทำนองของผู้ชายพูดไม่เก่ง
ถ้าพูดถึง Lavender ในตอนนี้คงไม่ได้มีแค่ภาพของดอกไม้สีม่วงเท่านั้น แต่อาจจะมีท่วงทำนองและเสียงร้องทุ้มต่ำของ Patrickananda ตามมาด้วย
ช่วงปีที่ผ่านมานี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าด้วยเสียงร้อง ดนตรี และการเขียนเนื้อเพลงที่มีสไตล์ มีซาวนด์เฉพาะตัว ทำให้ แพทริคเป็นศิลปินรุ่นใหม่อีกหนึ่งคนที่น่าจับตามอง
เพราะแพทริคบอกว่าตัวเองเป็นคนที่พูดไม่เก่ง เขาเลยเลือกจะเล่าเรื่องราวตัวเองผ่านเสียงดนตรี กลายออกมาเป็นเพลงในจังหวะ Pop R&B ไม่ว่าจะเป็น ‘Polaroid’ , ‘12th’ มาจนถึงเพลงล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาให้ฟังกันไม่นานนี้อย่าง ‘วงกลม’ ซึ่งทั้งหมดกำลังจะถูกรวมเป็น EP Album แรกของเขาที่กำลังจะปล่อยให้ได้ฟังกันในเร็วๆ นี้ ซึ่งทุกเพลงผ่านการร้อยเรียงเป็นเนื้อเพลงออกมาจากความรู้สึกของเขาทั้งหมด ทุกขั้นตอนที่แพทริคลงมือทำนั้นถือได้ว่าเป็นความสามารถที่น่าสนใจ
วันนี้เราเลยจะชวนทุกคนมาคุยกับ Patrickananda ถึงเรื่องเพลงและเส้นทางการเป็นศิลปินที่แม้แต่ตัวแพทริคเองก็ยังคิดไม่ถึงเหมือนกัน
Q : ความสัมพันธ์ของแพททริคกับเพลงของแพททริคเป็นอย่างไร
Patrickananda : [เพลง] เป็นสิ่งที่อธิบายตัวผมได้ดี เพราะว่าปกติผมเป็นคนไม่อธิบายตัวเอง เป็นคนพูดน้อย แล้วก็ไม่ค่อยมีความเห็นกับอะไรหลายๆ อย่าง เวลามีคนถามว่าเป็นคนยังไง เราก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรอะ ผมคิดว่าเพลงมันเป็นเหมือนตัวแทนของผมที่สุดแล้ว ในเรื่องของแบบบุคลิก ในเรื่องของอารมณ์ หรือแบบมู้ด ตัวตนที่ผมเป็นอะไรอย่างนี้ ก็จะแบบซึมๆ ง่วงๆ เหงาๆ
Q : คิดว่าเพลงไหนที่บอกความเป็นตัวเองมากที่สุด ในมุมมองของเรา
Patrickananda : ณ ตอนนี้น่าจะ ‘Lavender’ เพราะว่าในเรื่องของพาร์ตดนตรีก่อนเลยอย่างแรก โปรดักชันของเพลงนี้มันกลับไปเหมือนตอนทำโปรดักชันสองเพลงแรกที่ผมทำเองคือ ‘Polaroid’ กับ ‘12th’ พอหลังจากนั้นมา ผมก็ลองให้คนอื่นช่วยทำดนตรี ก็เลยเป็นเพลง ‘คนไกล’ ขึ้นมา เป็น ‘จันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เสาร์อาทิตย์’ ด้วย ซึ่งอะไรอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ตัวผมนะ แต่ ‘Lavender’ มันเป็นตัวผมค่อนข้างมากทั้งพาร์ตดนตรีและเนื้อหาเพลง ตั้งใจให้เพลงนั้นเป็นตัวชูอัลบั้มอยู่แล้วครับ เป็นเพลงหลักของอัลบั้ม ก็เลยเป็นชื่อเดียวกับอีพี EP. LAVNDR ชื่อเพลงก็ชื่อ Lavender
Q : ก่อนหน้านี้ที่เคยเดินสายประกวดร้องเพลงหลายเวที เคยพบกับภาวะหมดไฟบ้างไหมกว่าที่จะก้าวมาตรงจุดนี้ได้
Patrickananda : ผมจำได้ว่าตอนนั้นก็เหมือนเซ็งๆ แต่ก็ไม่ได้แบบว่าเก็บเอาไปเสียใจ ไม่ได้เจ็บปวดหรืออะไรขนาดนั้น ตอนนั้นเราก็ไม่คิดอะไรมากครับ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็เดี๋ยวไปต่อ ไปอีกรอบก็ได้ แต่ผมเป็นคนที่แบบว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้จริงๆ นะ ต้องอยากทำให้ได้ คือเป็นคนบ้าการแข่งขันอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้มันก็คือการแข่งขันกับตัวเองนะ คือถ้ายอมไปก็คงไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
Q : ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้
Patrickananda : ใช่ครับ เป็นคนไม่ค่อยชอบแพ้ (หัวเราะ)
Q :สิ่งที่คิดไว้ในการเป็นศิลปิน ในช่วงก่อนกับหลังจากที่เรามาเป็นแล้ว มันมีความเหมือนหรือแตกต่างกันบ้างไหม
Patrickananda : ตอนแรกแค่อยากมีเพลงเป็นของตัวเอง แล้วก็ไม่ได้คิดที่จะเป็นศิลปินเต็มตัว ที่ทั้งเขียนเพลงหรือว่าทำเพลงด้วย ตอนแรกแค่อยากหาคนทำเพลงให้มากกว่า ก็เลยไปประกวดร้องเพลง แต่พอเลิกใฝ่ที่จะไปประกวดร้องเพลง แล้วมาทำเพลงเองกลับกลายเป็นว่าเราชอบเฉยเลย พอมาลองเขียนเพลง ลองทำเพลงดู กลายเป็นว่าอยู่ๆ มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราอยากทำ มีซาวนด์บางอย่างให้เราอยากลองทำ มีเนื้อหาเพลงบางอย่างที่เราอยากลองเขียน ซึ่งมันแปลกมากตอนนั้น คือทุกอย่างมันก็มาเอง แบบว่า อยู่ๆ เนื้อเพลงมันก็มาเอง เพราะผมไม่เคยเรียนเขียนเพลงมาก่อนนะ อยู่ๆ มันก็เขียนออกมาได้ แต่งเมโลดี้ออกมาได้ แต่งกับกีตาร์ อะไรอย่างนี้ครับ
Q : เล่นกีตาร์อยู่แล้วหรือว่าเพิ่งมาฝึกทีหลัง
Patrickananda : ไม่ได้เล่น เพิ่งมาฝึกทุกอย่างทีหลังเลย เพราะจริงๆ ผมเป็นมือกลอง ผมเล่นกลองตั้งแต่เด็กครับ แล้วก็อยู่วงโยฯ ตั้งแต่ ม. 1 – ม. 6 ก็เป็นมือกลอง จริงๆ ผมอะชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เหตุผลที่เราไปตีกลอง เพราะว่าเราเป็นคนขี้อาย ถ้าเป็นนักร้อง เราต้องอยู่ข้างหน้าใช่ไหม มือกลองก็แบบอยู่ข้างหลัง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่ผมไปตีกลอง ที่ผมตีกลองก็เพราะมันสนุกมาก แล้วเราไม่ต้องไปอยู่ข้างหน้า เพราะว่าเขิน ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม (หัวเราะ)
Q : แล้วทำยังไงให้รู้สึกว่ามันหายเขิน
Patrickananda : มันก็ยังเขินอยู่ แต่ว่าพอมีแฟนคลับที่เขาโอเคกับเราในแบบนี้ ผมก็รู้สึกแฮปปี้ รู้สึกเซฟ ก็รู้สึกแบบ เออ เราพูดไม่เก่ง ขึ้นเวทีเราก็เขิน แล้วมันก็แสดงออกไปว่าเราเขิน แต่ว่าเขาไม่ได้อะไร เขาก็แบบโอเค ผมก็แบบก็ดีนะ เหมือนแฟนคลับก็เข้าที่เราเป็นคนแบบนี้ เราก็เลยรู้สึก Comfort ที่จะเจอกับเขา
Q : แล้วการทำเพลง จากที่บอกว่าไม่เคยเขียนเพลงมาก่อน เริ่มจากศูนย์ จนมาถึงตอนนี้เราโตขึ้นแค่ไหนบ้าง
Patrickananda : มันเป็นช่วงเวลาที่น้อยมากเลย ผมเริ่มทำเพลงตอนปี 2 ตอนนี้ผมจบมา 2 ปีแล้ว ก็เท่ากับทำมาประมาณ 3-4 ปี มันแปลก ผมว่ามันแปลกที่เหมือนครั้งนึง เราไม่เคยรู้เลยว่าเรา เราจะชอบในสิ่งที่เราทำตอนนี้ คือผมชอบเล่นดนตรี ชอบตีกลองตั้งแต่เด็ก แต่ไม่นึกว่าวันนึงจะมาชอบเขียนเพลง ชอบทำเพลง ยังงงๆ อยู่ แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่านี่แหละคือเหตุผลที่ผมอยู่ ไม่ใช่ว่าผมอยากตายนะ ไม่ใช่นะ (หัวเราะ) ผมหมายถึงผมเป็นคนที่แบบผมต้องรู้อะว่าเป้าหมายมันคืออะไร ทุกวันผมจะแบบแฮปปี้กับตัวเองได้ แต่ถ้าแบบไม่มีเป้าหมาย ผมจะแบบนี่กูมาทำอะไรอยู่บนโลกนี้ว้า อะไรอย่างนี้
Q : พอเรามีจุดมุ่งหมาย ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ทำให้เราอยากตื่นมาในทุกๆ วันก็คือสิ่งนี้
Patrickananda : ใช่ๆ ก็คือ Realized ตอนนั้นตั้งแต่ตอนปี 2 เลย ที่เริ่มทำ ว่าแบบ เฮ้ย โอเค ตื่นมาทุกเช้า เราอาจจะไม่ค่อยได้ไปเรียน โดดเรียนแล้วมาทำเพลง ใช่ เกือบทุกวันเลย (หัวเราะ)
Q : แล้วความรู้สึกนั้นมันมาตอนไหน ที่อยู่ดีๆ ตื่นขึ้นมาวันนี้ก็รู้สึกว่า อยากทำเพลง ชอบทำเพลง
Patrickananda : นั่นสิ ผมว่ามันแปลกมาก คือพอผมเริ่มปั๊บอะ ผมไม่มีหยุดเลยนะ ตอนนั้นที่ซื้อของทุกอย่างมาเสร็จ ยืมเงินป้าผมมา แล้วก็ไปซื้อของมาทำเพลง ตั้งแต่ยังทำอะไรไม่เป็น หลังจากนั้น ก็คือเริ่มทำแบบจริงจังมากๆ อะ เปิดยูทูบแบบทุกวัน แบบโดดเรียน ไม่เข้าเรียน แล้วเดี๋ยวมาทำเพลง หรือบางทีแบบเข้าเรียน ก็เปิดยูทูบดู ทำเพลงอยู่ดี แบบนั่งจดสมุดเลยว่า เขาทำกันอย่างนี้นะ เขาอัดเสียงกันอย่างนี้ มันต้องตั้ง Setting แบบนี้ เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย เกี่ยวกับพวกคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรม ผมทำไม่เป็นเลย
Q : เรียนเองทั้งหมดเลย
Patrickananda : ใช่ กับยูทูบ กูเกิล (หัวเราะ)
Q : แล้วอย่างนี้มีแบบปรึกษาเพื่อน หรือคนที่อยู่สายนี้บ้างไหม
Patrickananda : ไม่มีเลยพี่ ซึ่งตอนนั้นผมก็อยากมีนะ แต่คือมันไม่มีจริงๆ คือมีเพื่อนที่ทำเพลง แต่ว่าเราไม่ได้ทำเพลงแนวแบบนั้นเลย ก็เลยแบบไม่ค่อยได้คุยกัน อาจจะมีปรึกษาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบ เฮ้ย เพลงนี้กูแต่งมา มึงว่าไงวะ แต่ก็ไม่ได้มานั่งทำด้วยกันอย่างนี้ ไม่เคย ผมนั่งทำคนเดียวอยู่ที่หอ แล้วให้เพื่อนช่วยฟีดแบ็กเฉยๆ ว่า เพลงนี้ มึงฟังได้ไหมวะ
Q : ทุกวันนี้มีศิลปินเกิดใหม่ขึ้นทุกวัน เราทำยังไงให้เรายังคงเป็น ศิลปินที่ยังอยู่ในกระแส ได้รับความสนใจ เคยคิดถึงแบบเรื่องนี้บ้างไหม
Patrickananda : ไม่เคยเลย เพราะว่าทุกสิ่งที่ผมทำ ผมเป็นตัวเองหมดเลย แล้วก็ไม่ได้แบบว่ามี Mindset ที่แบบต้องทำอย่างนี้เพื่ออย่างนี้ คือไม่ได้มีอย่างนี้เลย แล้วอย่างเพลงก็คือไปหมดทุกแนว ไม่ได้ล็อกแนวไว้เลยอย่างนี้ฮะ โปรดักชั่นก็คือซาวนด์เปลี่ยนไปทุกเพลง เหมือนเราอยากทำอะไรก็ทำมากกว่า ค่ายก็บ้าจี้ตามเรา เขาก็ให้ทำทุกอย่างอะไรอย่างนี้ แบบโอเคได้ ลองไปเรื่อยๆ ก่อน
Q : เพราะอย่างที่เราบอกว่าเพิ่งเริ่มมาได้ 3-4 ปี เราอาจจะยังไม่ได้เจอสิ่งที่ชอบที่สุดของตัวเองแบบนี้ไหม
Patrickananda : คือล่าสุดก็มีแบบ Fungjai เขาชวนไปทำเป็นคอร์สอะไรอย่างนี้ ให้ไปสอน ผมก็บอกเลยว่า เอาจริงผมไม่รู้จะสอนอะไร เพราะทุกวันนี้ ผมก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน ทุกวันนี้ทุกอย่างคือเป็นการทดลองมากๆ ทุกเพลงที่ทำยังเป็นแบบ ก็เริ่มจากศูนย์หมด อย่างวงกลมที่ดนตรีไม่เหมือนคนไกลเลย หรือที่ Lavender ไม่เหมือน Oasis เลย ทุกอย่างมันคือแบบ เอ๊ย แนวนี้มันทำยังไงวะ เดี๋ยวลองทำแบบนี้ไหม อะไรอย่างนี้ ยังคงเป็นเหมือนตอนแรกๆ ที่ทำเพลง ยังทำแบบ Experimental คือแบบถ้าถามตัวผมแบบเชี่ยวชาญไหม ผมยังตอบไม่ได้เลย เอาจริงๆ แต่ที่ผมชอบที่สุด คือ ผมชอบเขียนเพลง แต่ถ้าถามว่าเขียนยังไง ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ผมก็แค่เขียนออกมาให้เป็นตัวเองเฉยๆ
Q : แล้วคิดว่าก้าวต่อไปในวงการเพลงของตัวเองจะเป็นอย่างไรบ้าง
Patrickananda : เป้าหมายของผม คือ ผมอยากเก่ง แต่ว่าใช้คำว่าอยากเก่งนี่มันก็กว้างไปเนอะ แล้วแบบมันวัดยังไง
Q : แล้วถ้าแคบลงมาหน่อย คำว่า ‘อยากเก่ง’ ในความคิดของ Patrickananda เป็นแบบไหน ที่รู้สึกว่า อ๋อ ถ้าเราเป็นแบบนี้ เราเก่ง เรารู้สึกเก่งแล้ว
Patrickananda : มันอาจจะไม่ใช่คำว่าเก่ง อาจจะเป็นคำว่าแบบ การเป็นใครคนนึงที่แบบว่าเป็น Original จริงๆ แบบเป็นหนึ่งเดียว คือผมได้ไอเดียนี้มาจากตอนที่ผมอ่าน [บทความ] ของ New York Times ที่เขายกให้ Frank Ocean น่ะครับ เป็นศิลปินของยุค เป็นไอคอนของ Generation นี้เลย เพราะเขาเป็นคนที่มีแนวเพลงเป็นของเขาเอง คือถ้าถามผมว่าแนวเพลงผม คืออะไร คือแนว Frank Ocean เลย แบบว่าไม่ใช่ Pop ไม่ใช่ R&B ไม่ใช่อะไรเลย แต่เป็นแนวเขาเลย อะไรแบบนี้ แล้วผมก็แบบ เออ แม่งสุดจริง การที่แบบเป็นศิลปิน แล้วสามารถแบบ คนยกย่องว่าแบบ เอ๊ย มีแค่นายคนเดียวที่ทำอย่างนี้ได้ ผมว่าอย่างนั้นน่ะ เขาแบบเท่ แล้วก็เป็นสิ่งที่ผมก็กำลังตามหาอยู่เหมือนกัน ใช่ มันน่าจะคือคำว่า Originality
Q :ความฝันสูงสุดของการเป็นศิลปิน ที่ถ้าเราได้ทำสิ่งนี้คือปลดล็อกการได้เป็นศิลปินแล้ว
Patrickananda : ไม่รู้เลย แต่ผมว่าไม่น่าใ่ช่เงิน จากตอนแรกที่เราไม่ได้มีเงินมากมาย พอมาตอนที่เรามีเงิน ก็ยังรู้สึกปกติ ผมยังอยากทำอีกหลายอย่างอะ อย่างล่าสุดผมแพลนว่าอยากจะทำแบรนด์เสื้อผ้า แล้วก็เป็นแบรนด์อย่างอื่นด้วย
Q : มีแบบความฝันว่าอยากไปจัดคอนเสิร์ตที่ต่างประเทศ อยากขึ้นรับรางวัลเวทีต่างประเทศไหม
Patrickananda : ก็อยากครับ ผมว่าขอเป็นแบบ เป็นทุกรางวัลในไทยก่อนแล้วกัน (หัวเราะ) ก่อนไปนอก ขอเป็นทุกรางวัลในประเทศไทยก่อนแล้วกัน ซึ่งผมมองว่า เออ ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไรนะ เพราะผมคิดว่ารางวัลมันก็ไม่ได้วัดคุณค่าทางดนตรี วัดคุณค่าของงานอยู่แล้ว แต่แบบผมก็ไม่รู้ว่าแบบ ผมอยากได้อะไร อะไรอย่างนี้ เพราะว่าทุกวันนี้คือตื่นมาทุกเช้าเพื่อที่จะได้ทำเพลงเท่านั้นเลย
Q : อยากจะเขียนเพลงให้คนอื่นบ้างไหม
Patrickananda : ยังไม่รู้สึกว่าอยากทำนะ เพราะว่าเหมือนผมไม่เคยด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไง เพราะที่ผ่านมาคือผมเขียนเพลงให้ตัวเอง เพื่อเล่าเรื่องของตัวเอง แล้วก็ร้องเอง อะไรอย่างนี้ คือเหมือนเราเป็นนักเล่าเรื่อง เล่าเรื่องของตัวเอง ซึ่งถ้าไปเขียนเพลงให้คนอื่น มันจะต้องทำยังไง เราจะต้องเอาเรื่องของเรา มาเขียนให้เขาร้อง มันก็จะแบบแปลกๆ อะไรอย่างนี้ นี่ก็เป็นเหตุผลนึงที่ผมไม่เคยให้ใครเขียนเพลงให้เลย อย่างที่ค่ายก็แบบถามว่า เออ ลองให้คนอื่นเขียนเพลงให้ไหม ผมก็แบบ แต่ผมจะไม่อินอะ เอาเรื่องของเขามาเขียนให้ผม แต่มันไม่ใช่เรื่องของผม
Q : เขาจะไม่สามารถอธิบายความต้องการ หรือความคิดในความเป็น Patrickananda ออกมาได้เท่ากับที่ตัวเองเขียน
Patrickananda : มันจะไม่ใช่จากเรื่องจริงของผมด้วย พอผมไปร้อง ก็จะรู้สึกแบบยังไงไม่รู้ แต่แบบ ผมอาจจะคิดมากไง บางที คือเอาจริงคนที่ เรียกว่าอะไร คนส่วนมาก ก็อาจจะคิดว่านักร้องแค่ร้องเพลงเพราะๆ รึเปล่า แต่ของผมคือ ผมค่อนข้างซีเรียสนิดนึงกับเรื่องที่แบบ เรื่องที่ผมต้องร้องหรือต้องเล่า อะไรอย่างนี้ฮะ
Q : แพลนสำหรับปีนี้ของ Patrickananda มีอะไรบ้าง
Patrick : ก็จะมีอีพีอัลบั้ม เป็นอีพีแรกของผมเลย ชื่ออีพี LAVNDR ครับ แต่จะสะกดไม่เหมือนกับตัวซิงเกิล ซิงเกิลจะเขียน l-a-v-e-n-d-e-r ใช่ไหม แต่อันนี้จะเขียนเป็น LAVNDR คือตัดตัว e ออกไปสองตัว ซึ่งไม่ได้มีความหมายลึกซึ้ง มันแค่ มันดูแบบ Symmetrical มากกว่า ดูแบบเซนเตอร์มากกว่า เพลงทั้งหมดในนี้มันเป็นเรื่องเล่าเลย เหมือนเป็นเรื่องเล่าแบบความรักของผม ตั้งแต่แรกจนจบอะไรอย่างนี้ครับ ถ้าเรียงอีพีใช่ไหมพี่ จันทร์อังคารฯ ก็อาจจะเป็นเพลงแรก คือแบบเพิ่งเจอกัน เพิ่งรู้จักกันอะไรอย่างนี้ อยากเจอทุกวันอะไรอย่างนี้ แล้ว Lavender ก็อาจจะเป็นเพลงสุดท้ายด้วยซ้ำแบบจากกันแล้ว