จุดประกายหาคำตอบกับ พลอย พลอยไพลิน นางเอกเจ้าของเพจ พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?

เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ เชื่อเลยว่าเด็ก (เตรียม) จบใหม่แทบจะทุกคนต้องเจอกับคำถามนี้ บางคนมีคำตอบในใจเอาไว้อยู่แล้ว บางคนยังลังเล หรือบางคนอาจจะไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี นางเอกสาวคนใหม่จากเรื่อง Low Season สุขสันต์วันโสด อย่าง พลอย-พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ก็เคยประสบปัญหากับการพบกับคำถามนี้เหมือนกัน ถึงได้เกิดเพจ พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ? ขึ้นมา NYLON ก็เลยขอชวนเธอมาคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเพจของเธอเอง เผื่อว่าใครที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจอยู่อาจจะได้ข้อคิดอะไรดีๆ จากสาวน้อยคนนี้ไปก็ได้นะ!

คำถามเรียนจบแล้วทำอะไรต่อ มีขึ้นมาครั้งแรกตอนไหน

เป็นคำถามที่เราถามคนอื่นบ่อยมาก แล้วก็มีคนอื่นถามเราด้วยว่า เออ เรียนจบแล้วทำอะไรต่อเนี่ย ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อเพจ แล้วก็โดนถามมากๆ ตอนช่วงจะเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยค่ะ ซึ่งตอนนั้นก็ทำงานในวงการบันเทิงแล้วนะคะ ปกติก็ถ่ายละครตั้งแต่ปี 1 แล้วด้วย 

แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้พลอยตัดสินใจตอบคำถามว่าไปเที่ยวนี่แหละ เป็นสิ่งที่เราจะทำหลังจากเรียนจบ

จริงๆ เป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้ว แล้วรถไฟทรานไซบีเรียเราก็อยากไปมานานแล้ว มันต้องไปนานมากถ้าจะไปเที่ยวในเส้นนี้ ถ้าเรียนอยู่ก้ไม่มีเวลา ตอนนั้นมันก็ว่างพอดีแล้วเป็นช่วงที่กำลังคิดวุ่นวายกับชีวิต ก็เลยเลือกไปเที่ยวดีกว่า

ปกติเที่ยวคนเดียวไหม

ไม่ค่ะ ปกติไม่เที่ยวคนเดียว ทริปทรานไซบีเรียเป็นครั้งแรกเลย จริงๆ คือนัดกับเพื่อนเอาไว้ว่าเรียนจบจะไปด้วยกันนะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เพื่อนก็เริ่มมีงานทำกันแล้ว ก็เลยไม่ว่างไป เราเลยรู้สึกว่า ถ้ามัวแต่รอคงไม่ได้ไป ด้วยความที่ว่ามีคนบอกมาด้วย ว่าถ้าไปคนเดียวก็จะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ก็เลยอยากรู้ว่าแล้วเราจะได้อะไรกลับมาหรือเปล่า บวกกับเรากำลังสับสนกับตัวเองว่าจะเอายังไงต่อ เลยตัดสินใจว่าจะไปคนเดียว

ด้วยความที่เป็นการเที่ยวคนเดียวครั้งแรก ทำไมพลอยไม่เลือกจะไปที่ใกล้ๆ ก่อน

มันเป็นสิ่งที่เราอยากไปอยู่แล้ว แล้วมันก็ไม่มีช่วงไหนที่จะว่างเป็นเดือนๆ ขนาดนี้ แล้วก็รู้สึกว่ามันท้าทาย มันน่าลอง

คนชอบพูดว่าเป็นผู้หญิง ไปไหนมาไหนหรือไปเที่ยวคนเดียวมันอันตราย พลอยรู้สึกกลัวบ้างไหมตอนที่ตัดสินใจจะไปเที่ยวคนเดียว

จริงๆ ก็กลัวนะ กลัวตอนที่จะบินไปแล้ว ตอนที่วางแผน จองนู่นจองนี่สนุกสนานมาก แต่พอตอนที่จะบินเริ่มคิดว่า ถ้าเราหกล้มกลางทาง จะมีใครช่วยเราไหม ถ้ามีใครมาทำไม่ดีกับเรา จะทำยังไง ก็มีกังวลบ้าง แต่สุดท้ายเรารู้สึกว่ามันคือการดูแลตัวเอง การมีสติ ถ้าสมมติเราอยู่คนเดียวเราก็ต้องดูรอบๆ ให้เรียบร้อย ไม่ใช่เดินก้มหน้าฟังเพลง มันก็ขึ้นอยู่ที่เราด้วยว่าเราจะรับมือกับมันได้ขนาดไหน แต่ว่าถ้าจะเจอ เราก็ต้องทำใจว่าต้องพร้อมที่จะเจอกับเรื่องแย่ๆ

แต่การไปเที่ยวคนเดียว มันจะมีโมเมนต์ที่เราคิดไม่ออก ต้องการเพื่อน อยากปรึกษา แต่หันไปแล้วไม่เจอใคร พลอยทำอย่างไรบ้าง

เราก็มีนะ มีเหงา ไม่รู้จะคุยกับใคร มันจะมี 2 แบบคือ อยู่กับตัวเองให้ได้ นั่งคุยกับตัวเองว่ามันสวยเหมือนกันนะ หรือแค่สนุกกับตรงนั้นที่มันมีอยู่ แต่ถ้ามันมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตก็จะคุยกับเพื่อน คุยกับที่บ้าน ว่าอยู่ตรงนี้แล้วนะ ตรงนี้อากาศหนาวมากเลย 

เวลาไปเที่ยว โดยส่วนตัวแล้วพลอยเลือกประเทศที่จะไปจากอะไรบ้าง

เลือกจากประเทศที่เราอยากไป แล้วก็ถ้าจะเลือกช่วงไปจะเลือกจากตั๋วถูก(หัวเราะ) อันไหนมีโปรโมชั่นก็โอเคไป

แล้วพลอยเคยจองตั๋วโปรโมชั่นทันไหม

เราเคยจองตั๋วโปรทันรอบหนึ่ง ตอนไปจอร์แดน ราคา 14,000 มั้ง แต่ไม่ได้ถูกแบบ 0 บาทขนาดนั้น แต่ก็เป็นราคาที่ถูกที่สุดที่เราเคยเจอมา

แล้วเวลาไปเที่ยว พลอยเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ถ้าไปคนเดียวอย่างทรานไซบีเรีย เราหาข้อมูลแน่นมาก แน่นพอที่เรารู้สึกว่าถ้ามีปัญหาก็ไปต่อได้ สามารถรู้ได้ว่าที่นี่เขาใช้เงินสกุลอะไร พูดภาษาอะไร เดินทางยังไง วัฒนธรรมเขาเป็นยังไง เขาเน้นอะไร แล้วข้อมูลการท่องเที่ยวเขาเป็นยังไงบ้าง เราก็จะหาลิสต์โรงแรมมาทั้งหมด แต่เราไม่ได้หามาครบทริปนะ เราหามาครึ่งหนึ่ง แล้วก็จะปริ้นต์แผ่นกระดาษมาซึ่งจะมีเบอร์โทรพร้อมที่อยู่ เผื่อเวลาที่เน็ตไม่มีก็จะได้ดูข้อมูลจากกระดาษนั้นได้ แล้วก็ปริ้นต์มา 2 แผ่น ให้ที่บ้านแผ่นหนี่ง ให้เราแผ่นหนึ่ง ที่บ้านจะได้รู้ว่าเวลาเราหายไปจะได้รู้ว่าวันนี้เราอยู่โรงแรมนี้นะ มีเบอร์โทรนี้นะ จะได้ติดต่อได้

อันนี้คือแพลนตอนที่ไปทรานไซบีเรีย แล้วตอนไปที่อื่นพลอยจัดแพลนอย่างไรบ้าง

แล้วแต่เลย บางทีเพื่อนก็จัด บางทีเราก็จัด มันอยู่ที่ว่าเราอยากจะไปไหน อ่านรีวิวแล้วก็ทำแพลนเลย มีทั้งคร่าวๆ หรือคิดหน้างานด้วยก็มี บางที่ที่เราไม่เคยไปอย่างจอร์แดน เราก็คิด Full plan เลยว่าจะไปไหน แต่ถ้าไปญี่ปุ่นก็ง่ายๆ แค่ไปถึงก็ อะ วันนี้จะไปไหน ค่อยว่ากัน

แล้วเวลาเตรียมตัว อุปกรณ์ที่เราขาดไม่ได้เลยคืออะไรบ้าง

ก็พาสปอร์ต กล้อง มือถือ ขาดไม่ได้เลยนะ 

พลอยคิดว่าการเป็น Backpacker จะต้องระมัดระวังอะไรมากที่สุด

น่าจะเป็นพวกของที่เอาไป พวกเงินหรือของมีค่า เพราะว่ามันเป็นกระเป๋าใบเดียว แล้วถ้ามันหายมันก็หายหมดเลย แล้วยิ่งพาสปอร์ตยิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องดูแล

แล้วเคยมีเหตุการณ์ของหายบ้างไหม

ไม่มีนะ เราค่อนข้างจะมีอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชันในการซ่อนเงิน ซ่อนของมีค่าไว้ อย่างกระเป๋าคาดเอวที่บางมากเพื่อให้คนไม่เห็นว่าเราพกของมีค่า เข็มขัดที่ใส่เงินได้ กระเป๋าที่เป็นตาข่ายข้างในที่กรีดไม่ได้ หรือมันจะมีของที่เป็นฟังก์ชันป้องกันการปล้นโดยเฉพาะ มีกุญแจล็อกกระเป๋าไว้เลย มีอุปกรณ์พวกนี้เยอะมาก

เคยเจอ Culture Shock ที่จำไม่ลืมไหม ตอนอยู่บนรถไฟ หรือตอนไปเที่ยวประเทศไหนก็ได้

น่าเป็นจะรัสเซียมั้ง กับการที่คนที่ไม่ยิ้มให้ เพราะว่าถ้าอยู่ไทยคนก็จะยิ้มแย้มสดใส แต่รัสเซียเขาก็จะตึงๆ นิดหนึ่ง แบบเขาเกลียดอะไร เขาโมโหอะไรเราหรือเปล่า แต่พออยู่ๆ ไปก็จะ อ๋อ เขาเป็นอย่างนี้ของเขาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ประทับใจก็คือคนรัสเซีย ถึงแม้เขาจะหน้านิ่งแต่เขาก็มีน้ำใจมาก มากพอๆ กับคนไทยเลย ช่วยเหลือดีมาก เป็นอีกมุมหนึ่งที่เราไม่คิดว่าจะเจอที่รัสเซียเหมือนกัน

แล้วตอนที่อยู่บนรถไฟทรานไซบีเรีย พลอยเจออะไรแปลกๆ ไหม

จะมีคนรัสเซียที่อยู่บนรถไฟ เขาจะชอบกินวอดก้า กินชากันส่วนใหญ่ เขาก็จะนั่งจิบวอดก้ากันเป็นปกติของเขา หรือว่าจิบชาอะไรอย่างนี้ ตอนแรกเราไม่ได้อินกับชามาก แต่พอไปเที่ยวเห็นคนรอบข้างกินชาเยอะมาก แล้วเราก็อยากกินชาบ้าง ไม่ได้เจออะไรที่ Culture Shock ขนาดนั้น แต่ว่าตอนที่อยู่บนรถไฟไม่มีคนต่างชาติเลย มีแต่คนรัสเซียทั้งขบวน แล้วไม่มีใครคุยด้วย เหมือนเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วย

พลอยไปเที่ยวคนเดียวที่ไหนมาบ้าง

ก็จะมีที่นี่ (ทรานไซบีเรีย) แค่ที่เดียว แต่ก็จะมีไปคนเดียว แล้วก็ไปเจอเพื่อนที่นู่น

แล้วพลอยเคยไปเที่ยวที่ไหนมาแล้วบ้าง

น่าจะ 22 ประเทศได้ค่ะ

แล้วชอบที่ไหนมากที่สุด

โห ยาก มันเลือกไม่ได้ เวลามีคนสัมภาษณ์เราเรื่องนี้ เราจะตอบแต่ละที่ไม่เหมือนกันเลย มันเลือกยากมาก เพราะแต่ละที่มันสวยไม่เหมือนกัน ให้ประสบการณ์ไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเอาหลักๆ ก็จะเป็นเนปาล หิมาลัย ไปทริป ABC Annapurna Base Camp อันนั้นก็จะเป็นครั้งแรกที่เราไปเดินป่าต่างประเทศ แล้วก็ไปภูเขาหิมาลัย มันเป็นภูเขาที่ยิ่งใหญ่อลังการ แล้วมันก็ทำให้เราเสพติดการเดินป่ามาก

พลอยเที่ยวในไทยบ้างไหม

จริงๆ เราเที่ยวในไทยก่อน เราชอบเที่ยวไทยมากๆ เมื่อก่อนถ้าที่บ้านชวนไปเที่ยวต่างประเทศ เราจะบอกว่า ไม่เอา จะไปเชียงใหม่ แล้วพอมีรอบหนึ่งที่บ้านพาไปยุโรป ตอนแรกจะเทที่บ้านแล้ว ไม่ไปแล้วนะ จะอยู่เชียงใหม่ แต่ก็ปีใหม่ไปเที่ยวด้วยกันก็เลยไป พอไปแล้วก็รู้สึกว่า เออ เที่ยวต่างประเทศสนุกดีนะ มันเปิดประสบการณ์ ถ้าเที่ยวที่ไทยจะอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน แต่เที่ยวต่างประเทศอาจจะไม่ได้อบอุ่นมาก แต่คนที่เจอจะให้ประสบการณ์ใหม่ๆ เห็นมุมมองการใช้ชีวิตในต่างประเทศที่ไทยไม่มี ก็เลยชอบเที่ยวไทยก่อนแล้วค่อยไปต่างประเทศ

พลอยดูชอบเชียงใหม่ ทำไมชอบเชียงใหม่

ใช่! ชอบเชียงใหม่! เราชอบเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย เราชอบภูเขา เราก็เลยชอบไปภาคเหนือ

 

พลอยคิดว่าการออกเดินทาง ส่งผลอะไรกับตัวเองบ้าง

ถ้าไปคนเดียวมันจะเห็นมุมมองว่าเราทำอะไรได้บ่าง เราขาดอะไรบ้าง พอไปคนเดียวเรารู้สึกว่า เราสามารถแก้ปัญหาได้ แล้วเราก็สามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง เราสามารถดูแลข้าวของเราได้ มันก็เห็นอะไรหลายๆ อย่าง สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้คือ เราเป็นคนขี้เหงาพอสมควร ตอนอยู่กรุงเทพฯ เราสามารถเที่ยวคนเดียวได้ ดูหนังคนเดียวได้ กินข้าวคนเดียวได้เป็นเรื่องปกติ การที่เราทำได้เพราะเรารู้สึกว่าพอกลับบ้านไปจริงๆ แล้วเราจะเจอใคร แต่พอไปคนเดียว กลับโรงแรมแล้วไม่เจอใคร เราก็เหงาเหมือนนะ เราโทรหาเพื่อน โทรหาพ่อแม่บ่อยมาก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เราค้นพบว่าจริงๆ เราก็ต้องการใครสักคนเหมือนกันเวลาอยู่คนเดียว

 

แล้วทริปต่อไปมีคิดไว้หรือว่าจะไปที่ไหน ไปทำอะไรบ้าง

จริงๆ มี แต่ว่ากลัวว่าจะเป็นไปไม่ได้มากเลย เราอยากจะไปอเมริกาใต้สัก 2-3 เดือนในปีนี้นะ แต่ว่ากลัวจะมีงานเข้ามา ถ้าหลักๆ เลยอยากจะไปปีนเขา พิชิต base camp หรืออะไรสักอย่างในปีละครั้ง 

แล้วทริปอเมริกาใต้นี่จะไปคนเดียวด้วยไหม

ก็คงต้องไปคนเดียว ไม่มีใครจะไปกับเรา (หัวเราะ)

แล้วตอนที่ตัดสินใจจะไปเที่ยวคนเดียว พลอยคุยกับที่บ้านยังไง

ตอนแรกเราไม่กล้าคุยกับที่บ้าน เราเลยพิมพ์ไปในไลน์ก่อนว่า จะไปรัสเซียเดือนหนึ่งนะ แค่นี้สั้นๆ แล้วก็มีคนอ่านแต่ไม่มีใครตอบอะไรเลย เราก็คิดว่า ไม่ได้ละ ไม่มีใครสนใจเลย เขาต้องคิดว่าเราพูดเล่นๆ แน่เลย เราเลยคุยกับคุณพ่อว่า จะไปรัสเซียนะ ไม่ได้บอกว่าจะไปทรานไซบีเรีย เพราะถ้าเขารู้ว่าเราจะไปหลายประเทศก็กลัวว่าเขาจะไม่ให้เราไป คุณพ่อก็ถามว่า ไปกับใคร ไปกี่คน แล้วเราก็ชูนิ้วหนึ่งนิ้วว่าไปคนเดียว (หัวเราะ) คุณพ่อก็ถามว่า ทำไมไปคนเดียวด้วย เราก็ให้เหตุผลไปว่า มันเป็นเหมือนของขวัญของเรา ที่เรียนจบแล้วอยากลองไปใช้ชีวิตดู ได้เรียนรู้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วคุณพ่อก็เงียบไปสักพักแล้วค่อยพูดว่า ลองไปดู เหมือนคุณพ่อเปิดโอกาสให้เราด้วยแหละ ก็ถือว่าโชคดีที่คุณพ่อให้ทำ ส่วนคุณแม่ เราไม่ได้บอก (หัวเราะ) เพราะว่าถ้าบอกไปรู้อยู่แล้วว่าไม่ให้แน่นอน เลยขอคุณพ่อ พอคุณพ่อให้ก็เลยจองตั๋ว จองเสร็จก็ค่อยบอกคุณแม่ว่าประมาณเดือนหน้าจะไป

แล้วคุณแม่ว่าอย่างไรบ้าง

คุณแม่งอนนะ แบบว่าทำไมไม่บอกก่อน ทำไมมาบอกตอนนี้ อันตรายรู้ไหม คุณแม่ก็มีงอนๆ แต่เราก็บอกไปว่าเราอยากลองดู พอไปเสร็จแล้วกลับมา คุณแม่เห็นว่าเราทำได้ ก็เริ่มเปิดใจที่เราชอบเที่ยวลุยๆ เริ่มซัพพอร์ตในด้านนี้ด้วย  

มีอะไรที่อยากจะบอกกับคนที่ยังกล้าๆ กลัวๆ กับการออกไปเที่ยวคนเดียวบ้างไหม

ถ้าถามว่าการเที่ยวคนเดียวอันตรายไหม มันก็อันตราย แต่มันก็อยู่ที่การระมัดระวังตัว ไม่พาตัวเองไปอยู่ที่กลางคืนเปลี่ยวๆ เรารู้สึกว่าการเที่ยวคนเดียวมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น เราได้เห็นตัวเอง ได้รู้จักตัวเอง แล้วก็ได้มีความสุขกับการเป็นตัวเองจริงๆ ถ้าเราไปเที่ยวกับเพื่อน เราก็จะคุยนู่นนี่นั่น แต่ถ้าอยู่คนเดียว มันจะรู้สึกว่าเรามีความสุขได้กับการนั่งดูพระอาทิตย์ตก มันก็มีความสุขได้เหมือนกัน ถ้าอยากลองก็ต้องลองดูสักครั้ง ถ้าชอบก็โอเค ถ้าไม่ชอบครั้งก็รอเพื่อนไป ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ แต่สำหรับเราเราโอเค และเราก็ชอบที่จะไปเที่ยวคนเดียว

ได้เพื่อนเยอะไหมกับการที่ไปเจอคนนู้นคนนี้

เยอะมาก ไม่คิดว่าจะรู้จักคนเยอะขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไปเที่ยวแค่โซนเอเชีย ยุโรป แต่คนที่ไปเที่ยว Route นั้น เราเจอคนทั่วทุกมุมโลกเลย เราเจอคนที่มาจากอลาสก้า จากอเมริกา เราเจอเยอะมาก คนไทยก็เจอระหว่างทาง เราได้เพื่อนจากอเมริกา อลาสก้า จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน ได้เยอะมาก เรารู้สึกว่าการไปคนเดียวมันเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้คนเข้าหาเรา อยากคุยกับเรามากขึ้น ถ้าเราไปกับเพื่อน เราก็คงโฟกัสกับเพื่อนเราอยู่ พอเราไปคนเดียว เราก็จะนั่งมองคนนู้นคนนี้ แล้วเขาก็จะสบตากับเรา เขาก็จะ ยู (มาเที่ยวคนเดียว) เหมือนกันใช่ไหม ไปเที่ยวด้วยกันดีกว่า เราก็จะได้เพื่อน 

ได้ยินมาว่าพลอยเคยเป็นครูอาสา ทำไมพลอยถึงเลือกที่จะไปเป็นครูอาสา

เราทำครูอาสามาตั้งแต่ปี 2 เรากะว่าจะไปปีละครั้ง เพราะเมื่อก่อนเราอยากเป็นครู อยากสอนเด็ก แต่ว่าก็ไม่ได้มีสกิล แต่พอไปเจอค่ายครูบ้านนอกของมูลนิธิกระจกเงา แล้วเขาบอกว่า ใครๆ ก็เป็นครูได้ เราก็เลยรู้สึกว่าลองดูสักครั้งแล้วกัน พอเราไปเราก็มีความสุขกับการได้ให้ แล้วเราก็ไม่ได้แค่ให้อย่างเดียว เราได้รับมาด้วย สกิลที่เราคิดว่ามันไม่จำเป็น มันก็จำเป็นสำหรับน้องๆ อยากแค่แปรงฟัน สอนการแสดง เล่นกระจก ทำท่าล้อเลียนกันก็สนุกแล้ว น้องๆ ก็สนุกที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เราก็ชอบตั้งแต่นั้นมา ก็เลยไปกับครูบ้านนอกมาเรื่อยๆ 

พอไปครูบ้านนอกก็ได้รู้จักกับคุณครูจากมูลนิธิกระจกเงา เห็นว่าเขาไปเปิดใหม่แยกมาจากครูบ้านนอก เป็นโครงการค่ายครูอาสาที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เขาเรียกว่า ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา เป็นโรงเรียนเรียนฟรีเพื่อเด็กชายขอบ แล้วคุณครูที่นั่นก็ชวนให้เราไปสอน เราก็เลยชวนเพื่อนไปคนเดียวคือเป็นตากล้อง ก็คือเขาอยากให้น้องๆ รู้จักการสื่อสาร อยากให้น้องๆ ได้เรียนถ่ายวิดีโอ การถ่ายภาพ ไม่อยากให้เด็กได้เรียนรู้แค่การทำไร่ทำนา อยากให้เขาเปิดมุมมองในการหาอาชีพอื่นๆ เขาก็เห็นว่าเราเรียนภาพยนตร์มาก็เลยชวนเราไป พอเราไปก็รู้สึกว่าน้องมีความตั้งใจมาก แต่เขาแค่ขาดสื่อการเรียนรู้ เราไปสอนแค่ 2 วัน เรารู้สึกว่ามันไม่พอ ก็เลยคุยกับครูว่า เราจะจัดค่ายครูอาสาขึ้นมาโดยเฉพาะการถ่ายภาพเดี่ยวๆ เลยเกิดโครงการมองโลกผ่านเลนส์ รับอาสาสมัครที่สนใจด้านการถ่ายภาพและการสอนน้องๆ มารวมกัน และก็ทำค่ายด้วยกัน

โครงการนี้มีมานานเท่าไรแล้ว

เพิ่งเกิดไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วค่ะ ประมาณ 3 วัน คือมันไม่ใช่ครูอาสาที่ไปเป็นเดือนนะ แต่เป็นค่ายแบบ 3 วัน 4 วันประมาณนั้น 

ก่อนที่จะสอนวิชาถ่ายภาพ พลอยสอนอะไรกับน้องๆ บ้าง

ก่อนไปไร่ส้มก็สอนวิดีโอ สอนทำรายการค่ะ แต่ถ้าตอนปี 2 ปี 3 คือสอน A B C สอนภาษาอังกฤษ สอนแปรงฟัน สอนอะไรที่ง่ายๆ ถ้าไปค่าย ชาวค่ายเขามาจากสายอาชีพอะไร เราก็จะมานั่งคุยกันว่าเราทำอะไรได้บ้าง แต่ว่าค่ายที่เราไปเขาจะมีคนที่เก่งด้านนั้นเขาจะมาสอน เราก็ไปช่วยเขาหรือเราจะคิดเองก็ได้ แต่ว่าที่ทำของไร่ส้มคือครูเขาชวนเราไปช่วยสอนเด็กๆ ก็เลยเจาะจงที่สอนการถ่ายภาพ มันก็เลยต่อยอดไปเป็นค่ายจริงจัง  

แล้วพลอยชอบอะไรที่สุดในพาร์ทของการเป็นครูอาสาที่รู้สึกว่ามันน่าไปต่อ

แน่นอนว่าการให้มันก็มีความสุขอยู่แล้วในการเป็นครูอาสา แต่ที่หลักๆ ออกจะเห็นแก่ตัวหน่อย คือเราได้ให้ตัวเอง คือเราได้รับมาจากเขา เราไปค่าย จริงๆ เราหวังว่าเราอยากได้รับเหมือนกัน พอเราไปเราเห็นน้องๆ ที่ตั้งใจ เราแค่สอนเรื่องพื้นฐานที่เรารู้สึกว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเรา แต่สำหรับน้องเขา เขารู้สึกว่ามันว้าว เรารู้สึกว่า เออ เราเคยเป็นแบบนี้มาก่อน มันก็เติมไฟให้เราว่าเราอยากจะทำอะไรแบบนี้ให้มันดีขึ้น มันได้ความอบอุ่นจากคนที่ไปด้วย ทุกคนจะมีแนวคิดคล้ายๆกันคืออยากจะให้ อยากจะสอน ทุกคนอยากจะช่วยเติมเต็ม ช่วยเหลือน้องๆ แล้วน้องๆ ก็สอนมุมมองที่ต่างไปจากเรา ให้เราได้รับรู้ว่ามุมมองที่เขามองโลกมันอย่างนี้นะ แล้วเราก็มีความสุขที่เราได้ให้และได้รับ 

มีเรื่องอะไรที่ประทับใจมากๆ ไหม

มีนะ มีทุกครั้งเลย คือการที่น้องๆ มาขอบคุณ แค่ถูกเรียกว่าครูมันก็รู้สึกว่าเขิน ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่น้องๆเรียกเราว่าครูก็รู้สึกว่าประทับใจแล้ว แต่ว่าการที่พ่อแม่ของน้องมาเรียกเราว่าอาจารย์ เราแบบ นับถือเราเป็นอาจารย์เลยเหรอ เราแค่มาสอนอะไรที่เบสิค สอนแค่กดชัตเตอร์ภาพ แล้วพ่อแม่น้องก็บอกว่า เอ้า มาสวัสดีอาจารย์เร็ว เฮ้ย เราได้ชื่ออย่างนี้แล้วเหรอ เรารู้สึกประทับใจ แล้วเราก็ได้สร้างคุณค่าให้คนที่มาด้วย แล้วเขาก็ ขอบคุณนะ ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีคุณค่าต่อโลก บางคนเขาคิดว่าสกิลที่มีอาจจะเก่งไม่พอ แต่การที่ไปสอนแค่นี้มันก็เก่งสำหรับคนๆ หนึ่งแล้ว มันทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า ได้เติมเต็มช่วยเหลือกันและกัน  

แล้วพลอยได้วางแผนโครงการกับมูลนิธิกระจกเงาว่าในแต่ละปีจะมีช่วงไหน อย่างไรบ้าง

ยังไม่ได้วางแผนขนาดนั้น เราทำแค่อันเดียว แต่ศูนย์การเรียนไร่ส้มเขาสนใจแผนการเรียนที่เราวางไว้ ปกติถ้าเป็นครูอาสาไปโรงเรียนนี้แล้วก็ไปโรงเรียนนั้นต่อ แต่พอมันเป็นโรงเรียนของศูนย์การเรียน เราทำโครงการที่เป็นเฉพาะทาง แล้วทางโครงการเขาก็สนใจว่าถ้าเราทำเป็นค่ายโดยเฉพาะมันก็น่าจะดี อย่างสอนน้องทำอาหารโดยเฉพาะเลยก็น่าสนใจ แล้วก็ยังไม่มีเวลาขนาดนั้นที่จะไปทำค่ายให้เขาโดยเฉพาะ แต่ว่าถ้ามีโอกาสก็จะทำเหมือนกันค่ะ