the roof of the world

เส้นทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต ถือเป็นเส้นทางรถไฟในฝันอีกเส้นหนึ่งของนักเดินทางเพราะถือว่าเป็นเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในโลกเนื่องจากสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 5,072 เมตร (เมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ ที่สูงเพียง 2 เมตร) และมีสถานีปลายทางคือลาซา เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองทิเบต ที่สักครึ่งหนึ่งในชีวิต เราควรไปลองนั่งกันดู

 

qinghai-tibet railway

สามารถเริ่มนั่งรถไฟสายนี้ได้ตั้งแต่เมืองเฉิงตู (ที่อุดมด้วยหมีแพนด้า) หรือจะเริ่มกันยาวๆ ก็ตั้งแต่ปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ นั่งยาวกันไปสองวัน นอนและกินบนรถไฟ ยิ่งรถไฟเข้าใกล้ทิเบตเท่าไหร่ วิวทิวทัศน์รอบๆ ก็สวยขึ้นทันตาเห็น อีกทั้งนั่งไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องความกดอากาศเพราะรถไฟขบวนนี้ ปรับความดันให้อัตโนมัติแล้ว แต่สิ่งที่ยากของเส้นทางรถไฟคือ ‘จองได้ยากเย็นนัก!’ ถ้าอยากมาจริงๆ ไปซื้อกับเอเจนซี่ จะมีโอกาสมากกว่า เพราะชาวจีน ก็อยากมาทิเบตเยอะเหมือนกัน หรือจะข้ามขั้นโดยการนั่งเครื่องบินไปลงลาซา ชีวิตก็จะง่ายขึ้นเยอะ

 

be prepared

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนมาเยือนทิเบต
1.ทิเบต ไม่ใช่เมืองที่เราจะเดินเข้าไปเที่ยวได้ง่ายๆ เพราะขั้นแรกเราต้องมีวีซ่าจีน เมื่อได้วีซ่าจีนมาแล้วต้องขอใบอนุญาตเข้าทิเบต (เรียกสั้นๆ ว่าใบเพอร์มิต) ซึ่งก็ไม่มีกรุ๊ปทัวร์ที่ไหนทำใบเพอร์มิตให้เราฟรี เขาจะบังคับเราให้ซื้อทัวร์เขาด้วย เป็นอันว่าในทิเบต เราจะมีไกด์และรถตู้รับส่งเสมอ ยิ่งถ้าออกนอกเขตเมืองลาซาแล้ว ใบอนุญาตที่ใช้ก็จะไม่เหมือนกันอีก ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับการวางแผนของเรา

 

2.คนมักคิดว่าถ้าไปทิเบตแล้วจะมีปัญหาเรื่องความกดอากาศ จริงๆ แล้วถ้าเราไม่ก้มเงยบ่อยๆ เดินให้ช้าลง ไม่วิ่ง ไม่แอคทีฟนัก รวมถึงจิบน้ำบ่อยๆ และกินของหวาน (อย่างช็อกโกแลตนี่ช่วยได้มาก) ก็พอแล้ว ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด

 

lhasa: the capital of tibet

เมื่อมาถึงเมืองลาซา คุณจะพบกับความเป็นจีนเมื่อครั้งอดีต ลาซายังคงวัฒนธรรมการนับถือศาสนาอย่างเต็มรูปแบบ วัยรุ่นยังถือลูกประคำ กงล้อสวดมนต์ พร้อมด้วยตัวเมืองที่เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองไปในโลกทุนนิยมมากขึ้น มีร้านค้าแบรนด์เนม (จากจีน) อาหารฟาสต์ฟู้ด ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่คู่ขนานไปกับวัดชื่อดังกับพระราชวังของเมือง ด้านชาวเมืองก็มีลักษณะเหมือนคนจีนแทบทุกอย่างเช่น ตาตี่ ผมดำ แต่ผิวคล้ายจะโดนแดดเผาจนแก้มแดง ดูน่ารัก ส่วนห้องน้ำ ขอบอกว่ายังน่ากลัวตามคำร่ำลือ ฉะนั้นเตรียมลุ้นระทึกกันให้ดีเลยจ้ะ

 

ศูนย์กลางของเมืองลาซา คือพระราชวังโปตาลาและวัดโจคัง ที่เหมือนเป็นไฮไลต์เด็ดของเมือง ถ้าใครมาลาซาก็ต้องมาชมพระราชวังโปตาลาที่สร้างอยู่บนเขา ซึ่งสมัยก่อนจะเป็นที่อยู่อาศัยของกษัตริย์ แต่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เก็บสมบัติสำคัญ ของทิเบตไว้ ส่วนวัดโจคังเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ทุกวันเราจะเห็นชาวทิเบต มากราบไหว้ ด้วยท่าอัษฎางคประดิษฐ์ (ไหว้ 8 จุด)  คือการไหว้ แบบล้มตัวลงไปทั้งตัว ให้หน้าอกเราแตะพื้นเหมือนนอนลงไป (อย่างที่เราเห็นอนันดา ไหว้ในภาพยนตร์เรื่อง ซัมบาลา นั่นแหละ) แต่นี่คือเรื่องปกติของคนทิเบต บางคนไหว้ทั้งวัน บางคนไหว้วนรอบวัด นอกจากนี้ยังมีวัดอื่นๆ รอบตัวเมืองอีกมากมายที่ สามารถนั่งรถเมล์หรือจะเดินทอดน่องชิลๆ ไปก็ยังได้ หรือจะลองใช้บริการแท็กซี่ของเมืองที่ลองได้นั่งเป็นต้องติดใจใ นความคุ้มเสียทุกครั้ง เพราะเขาไม่สนใจมิเตอร์กันเลย ขับไปไกลแค่ไหน มิเตอร์ขึ้นเท่าไหร่ก็คิด 10 หยวนตลอด

 

นอกจากเมืองลาซาแล้ว เรายังสามารถนั่งรถออกไปนอกเมืองได้ จุดที่เราไปคือทะเลสาบนัมซัว ที่มีเครื่องหมายการค้า ว่าเป็นทะเลสาบที่สูงสุดในโลก เรื่องวิวทิวทัศน์ไม่ต้องพูดถึง รับประกันความสวยงามเต็มพิกัดชนิดที่สวยจนลืมหายใจ ยิ่งได้ลงไปถ่ายภาพ จะเห็นทันทีว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ ส่วนเราเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวที่อาศัยอยู่เท่านั้น ยิ่งพอถึงทะเลสาบที่น้ำใสจนสะท้อนให้เห็นภูเขาหิมะ ยิ่งฉายความงดงามชัดเสียจนกลายเป็นภาพแห่งความทรงจำไปตลอดชีวิต ถ้าใครอยากดื่มด่ำกับทะเลสาบนานๆ ก็สามารถนอนค้างคืนได้ในตู้คอนเทนเนอร์ที่เรียงเป็นแถบรอให้นักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการ หรือจะขับรถกลับไปยัง เมืองลาซา ก็ใช้เวลาเพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะการปล่อยใจ ล่องไปกับความสวยงามของทัศนียภาพรายทางนั้น 5 ชั่วโมงก็ไม่พอ แค่เพียงมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นผืนหญ้าเขียวสดเหมือนทุ่งในเทเลทับบีส์ มีจามรีเดินอุ้ยอ้ายไปมา กระทั่งตอนพระอาทิตย์กำลังตกดิน ยิ่งอยากหยุดเวลาเพื่อชื่นชมความสวยงามจากทุกมุม

 

อาหารการกินในเมืองลาซานั้นต่างจากบ้านเราลิบลิ่ว เนื่องจากไม่ค่อยมีร้านอาหารและแผงลอยให้เห็นมากนัก ร้านส่วนใหญ่จะซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบเงียบๆ เล็กๆ แต่ถ้าไปแล้ว ขอให้หาร้านที่ขายเนื้อจามรี สัตว์เลี้ยงขึ้นชื่อของที่นี่ รสชาติของเนื้อจามรีคล้ายเนื้อหมูผสมวัว ไม่คาว เหนียวนุ่ม ลวกกินในหม้อไฟจะได้ลิ้มรสที่ฟินมาก ส่วนอาหารอื่นๆ เป็นการผสมผสานระหว่างจีนและอินเดียเข้าด้วยกัน เพราะที่นี่เริ่มเข้าใกล้เขตอินเดียแล้ว ถ้าได้ลองเดินเล่นในตลาดจะพบเนื้อจามรีและชีสชนิดต่างๆ ที่ทำจากนมจามรี ทำเอาตื่นเต้นกับวัตถุดิบประหลาดมากมาย

 

ส่วนใครที่อยากเดินเล่นชมเมืองลาซากันแบบชิลๆ ขอแนะนำ Summit Café ร้านขายกาแฟและเค้กที่อยู่กลางใจเมือง แถววัดโจคัง ทีเด็ดของร้านนี้คือการติดป้ายโฆษณารับประกันไว้หน้าร้านเลยว่า ‘Wi-Fi แรงและห้องน้ำสะอาดที่สุดในลาซา’ จนทำให้เราอยากพิสูจน์ การเดินทางที่แสนยาวนานทำให้เราเริ่มคุ้นชินกับห้องน้ำจีนที่ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ พอเจอห้องน้ำเสมือนสยามพารากอนทีก็ทำเอาพวกเราเชื่อถือร้านกาแฟนี้ทันที ที่สำคัญเน็ตของเขาแรงจริง ยิ่งกว่า Wi-Fi บ้านเราด้วยซ้ำไป ไม่น่าเชื่อว่าบนที่สูงอย่างทิเบตจะมีอินเทอร์เน็ตแรงแซงพี่ไทยอีก และอีกหนึ่งคาเฟ่ที่อยากแนะนำคือ Spinn Café ซึ่งไฮไลต์เด็ดของที่นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับอาหาร แต่เกี่ยวกับเจ้าของร้านทั้งสองคนที่คนหนึ่งเป็นคนไทย อีกคนหนึ่งเป็นฮ่องกง ทั้งสองปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯ มาที่ลาซาเพื่อเปิดร้านกาแฟ แค่ได้ฟังเรื่องราวพี่เขาก็ชวนอึ้งจะแย่ พอได้มาชิมเบียร์หลังคาโลกขณะนั่งฟังพี่เขาโม้ว่าทำงาน 6 เดือน เที่ยวอีก 6 เดือน ขอบตาก็ร้อนผ่าวๆ ด้วยความอิจฉา ยังไม่นับรวมที่เราได้คุยภาษาไทยกันที่ทิเบต คงไม่มีอะไรทำให้รู้สึกดีไปกว่านี้แล้ว

 

การเดินเล่นในเมือง ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามเวลาของที่นี่ เพราะยิ่งสูงยิ่งหนาวแต่แดดก็ร้อนแรงจนเผาเราไหม้ได้เช่นกัน (แดดแรงกว่าเมืองร้อนระอุอย่างกรุงเทพฯ เสียอีก!) บางทีเดินเล่นจนถึง 1 ทุ่มแล้ว แดดยังเหมือนบ่าย 3 อยู่เลย จริงๆ แล้วที่นี่ควรจะนับเวลาตามอินเดียมากกว่าจีนด้วยซ้ำ เล่นเอาสับสนต้องเปลี่ยนการใช้ชีวิตจนงงเลยทีเดียว ดังนั้นเวลาที่เหมาะสำหรับไปเดินเล่นคือยามบ่ายแก่ๆ ที่อากาศจะเย็นสดชื่น สามารถเดินชิลๆ สูดออกซิเจนหลังคาโลกได้อย่างสบายอารมณ์

 

โดยรวมแล้ว 4 วัน 3 คืนในเมืองลาซาช่างน่าจดจำและเต็มไปด้วยความประทับใจจากเสน่ห์เฉพาะตัวที่เรียกร้องให้เราก้าวขาออกมาท่องโลกกว้างสักครั้งในชีวิต และนับเป็นอีกเมืองหนึ่งในทิเบตที่รอให้คุณเดินทางไปค้นหาและค้นพบการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม ธรรมชาติ กับความทันสมัยที่แตกต่างจากสิ่งที่คุณนึกฝันไว้อย่างแน่นอน

 

เรื่องและภาพ: สกาวเดือน งามศิริอุดม

 

 

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply