New Chapter of Fangfangg กลับมาเริ่มต้นอีกครั้งกับงานเพลง

เชื่อเลยว่าถ้าหากได้พูดถึงวง เฟย์ฟางแก้ว แล้วคงจะไม่มีใครไม่รู้จักแน่ หลายคนอาจจะมีเมโลดี้และเพลงต่างๆ ที่เข้ามาในความคิดทันทีเมื่อได้ยินชื่อของพวกเธอ จะเรียกว่าโตมาด้วยกันก็คงได้ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง จนเมื่อประมาณช่วงปีที่แล้วพวกเธอก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งพอให้แฟนคลับและแฟนเพลงทั้งหลายได้หายคิดถึง และจะไม่ปล่อยให้ต้องคิดถึงอย่างเหงาๆ กันอีกต่อไปเพราะพี่ใหญ่ของวงอย่าง ฟาง-ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ ได้เปลี่ยนบทบาทมาเป็นศิลปินเดี่ยวคนใหม่ของค่าย SPICYDISC และแน่นอนว่ามาพร้อมกับเสียงร้องที่ไม่ว่าจะหายไปนานแค่ไหนก้ยังเป็นเสียงที่เราคุ้นเคยเหมือนเดิม

วันนี้ NYLON ก็เลยชวนฟางมาคุยกันกันแบบชิลล์ๆ ถึงบทบาทใหม่ที่เรียกได้ว่าเป็นการเริ่มต้นอีกครั้งกับการร้องเพลงกัน

การเติบโตในวงการกว่า 14 ปี วงการได้สอนอะไรที่ทำให้เป็นฟางในปัจจุบัน

อย่างแรกเลยก็คือ สอนให้เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเองตั้งแต่เด็ก แล้วก็รู้จักการแบ่งเวลาของการทำงาน จนกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตลอด ถ้าลึกกว่านั้นก็น่าจะเป็นเรื่องของการมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง เพราะว่าทุกอย่างที่เราทำลงไปมันจะมีผลของการกระทำกลับออกมาหาเราเสมอ เพราะฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไรเราก็ต้องคิดให้ดีก่อน

อะไรทำให้ตัดสินใจกลับมาทำงานเพลงอีกครั้ง 

ง่ายมาก มันเป็นเพราะว่าเราชอบเพลง ชอบร้องเพลง แค่นั้นเลย เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตเรา และเราก็รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้วค่ะ 

พอหายไปนานกลับมาร้องเพลงอีกทีปรับตัวเยอะไหม

ถ้าถามว่าต้องปรับตัวเยอะไหม จริงๆ ก็ไม่นะคะ ตรงนี้พูดถึงตอนเป็น เฟย์ฟางแก้ว ก็มีความเป็น เฟย์ฟางแก้ว อยู่แล้ว เราก็ไม่ต้องจูนอะไรกันใหม่แล้ว ถ้าจะยากในเรื่องของการกลับมาทำเพลงน่าจะเป็นเรื่องของเวลาที่แต่ละคนมีบางอย่างที่ตัวเองชอบแตกต่างกัน เส้นทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พอจะหาเวลาที่จะมาเจอ มาทำโปรเจกต์ร่วมกันมันก็จะค่อนข้างยากนิดหนึ่งค่ะ

ทำเพลงเดี่ยวครั้งแรก แตกต่างกันจากวงอย่างไรบ้าง

เหงาค่ะ (หัวเราะ) แล้วก็แตกต่างจากการทำวงอยู่นะ เพราะเวลาทำงานร่วมกัน 3 คน ฟางก็จะมองตรงกลางเป็นหลัก เพราะฉะนั้นความชอบหรือความไม่ชอบของเรามันจะถูกลดลงมาให้เป็นกึ่งกลางของกลุ่มมากที่สุด แต่พอมาทำเพลงคนเดียวแล้วเหมือนเราต้องคิดเองหมดเลยว่าสิ่งที่เราชอบนั้น จริงๆ แล้วคืออะไร หรือสิ่งที่เราไม่ชอบคืออะไร เหมือนย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้น กลับมาที่ตัวเราเองว่าเรามีความชื่นชอบอะไรบ้าง ตัวของตัวเราที่ไม่ใช่ ฟาง เฟย์ฟางแก้ว แต่เป็นฟางจริงๆ คืออะไร นั่นคือจุดที่ฟางคิดว่ามันยากที่สุดที่เราจะออกจากความเคยชินและคอมฟอร์ตโซนที่อยู่กับเพื่อนๆ กลับมาเป็นตัวเราที่เริ่มจากศูนย์อีกครั้งหนึ่ง

เล่าถึงเพลงใหม่หน่อย ว่ากว่าจะมาเป็นเพลง Honey Honey ผ่านอะไรมาบ้าง

เพลง Honey Honey เริ่มแรกเลยก่อนที่จะได้เพลงมาก็จะมีการพูดคุยกับพี่โปรดิวเซอร์ ก็จะเป็น พี่บี Funky Wah Wah และพี่โต้ NAP A LEAN รวมถึงพี่เต้ง ผู้บริหารค่าย SPICYDISC ก็จะมาระดมความคิดกันว่าเราชอบแนวเพลงแบบไหน เรื่องราวมุมมองชีวิตของเรา ทั้งเรื่องของงาน เรื่องความรัก เหมือนสัมภาษณ์เรา 360 องศา แล้วเขาก็ไปขึ้นเพลงเพื่อที่จะมาประชุมกันอีกรอบว่าชอบเพลงไหน ตอนแรกก็มีเดโมอยู่หลายเพลงเลย 5-6 เพลง แต่เรารู้สึกว่า Honey Honey น่าจะเป็นเรามากที่สุดในจำนวนเพลงเหล่านั้น 

รู้สึกแนวเพลงของเราเปลี่ยนไปเยอะขนาดไหน

ถ้าทุกคนจะเห็นได้ชัดก็คงเป็นการที่ได้ยินเสียงเราเยอะ และคนจะรู้สึกว่า เอ้ย มันจะมีความกามิกาเซ่อยู่ไหม ซึ่งเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อะเพราะว่ามันก็เป็นเสียงเรา (หัวเราะ) เสียงเราเป็นแบบนี้ สิ่งที่ทำให้ต่างมากจากเดิมก็คงจะเป็นเรื่องของซาวนด์ดนตรี ซึ่งความชอบของฟางก็ยังเป็นดนตรีแนวป็อปอยู่ แต่ Honey Honey จะมีซาวนด์ดนตรีที่เรียกว่าซินธ์เข้ามา แล้วก็มีความเป็น R&B เข้ามาเพิ่มขึ้น และในเพลงนี้ฟางก็แรปด้วย แรปเยอะกว่าที่เคยแรปมา เรียกได้ว่าเกือบจะทั้งเพลงเลย

จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะให้มีแรป จากเดโมก็คิดว่าน่าจะให้คนอื่นมาแรปให้ พอไปเข้าห้องอัดจริงๆ พี่เขาก็บอกว่า เออ ให้ลองแรปดูแบบสไตล์เรา เราก็ อะ ลองดู พอออกมาปรากฏพี่ๆ บอกว่าดี ไม่ต้องให้คนอื่นมาร้องแล้ว ร้องเองไปเลย (หัวเราะ) ซึ่งถ้าใครได้ฟังเพลงแล้วจะรู้ว่าจังหวะเว้นให้หายใจและพักเหนื่อยในเพลงนี้น้อยมาก เพราะจริงๆ มันดีไซน์ไว้สำหรับให้มีคนมาแรปด้วย จะเป็นแรปเปอร์หรือใครก็ได้ที่ไม่ใช่เราอะ (หัวเราะ) แต่กลายเป็นว่าต้องโซโล่ยาวเลยไม่มีคนอื่นมาฟีทเจอร์ริ่ง ก็ถือเป็นเพลงที่เราใช้พลังเยอะมาก ก็ฝึกลมหายใจนะคะ ใครจะร้องตามก็ฝึกปอดให้ใหญ่ขึ้นนะคะ (หัวเราะ)

เนื้อหาในเพลงแอบชอบแต่ไม่กล้าบอก ถ้าเราแอบชอบใครจะทำอย่างไร

น่าจะทำเหมือนในเพลงนะ ในเพลงก็คือเราแอบชอบเขาแล้วก็ไม่อยากบอก แต่อยากให้รู้ อย่างใน MV ก็พยายามเรียกร้องความสนใจแต่เขาก็ไม่สนใจเรา พอมีโมเมนต์ที่เขาสนใจเรา เราก็แอบเล่นตัวนิดหนึ่ง สไตล์ผู้หญิงยุคใหม่เราก็ต้องมีการ hint ไว้หน่อยว่าสนใจอยู่นะ แต่คงไม่เข้าไปบอกหรอก มันไม่มีชั้นเชิง เราต้องเป็นผู้หญิงที่ต้องมีความซับซ้อนและมีชั้นเชิง

การเรียนปริญญาโทกับการทำงาน

จริงๆ แล้วตอนเรียนจุฬา ฟางก็จะเรียนบัญชีแต่เป็น Finance พอไปเรียนต่อที่ Imperial College ก็ไปเรียนด้าน Strategic marketing ที่เขาเน้นด้าน Digital Marketing ของที่นั่น มันก็ยังเป็นสายที่มีความเชื่อมโยงกันอยู่นิดหนึ่ง 

พอเรียนจบมาคนก็จะถามว่าแล้วเราได้ทำงานตรงสายหรือเปล่า ถ้าให้พูดกันตรงๆ เลยก็คือ ไม่ตรง เพราะว่าเราทำงานในวงการบันเทิง มันก็ไม่ได้ใช้เรื่องของ Finance เรื่องของ Strategic marketing แต่ว่าเราสามารถเอาไปปรับใช้กับแบรนด์ Self Stories ที่ได้เอามาใช้โดยตรงเลย เหมือนเราเรียนให้รู้เพื่อที่จะได้นำมาใช้ให้เป็นค่ะ

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจ

ได้รู้ว่ามันไม่ง่ายค่ะ (หัวเราะ) อันนี้เรื่องจริง มันไม่ง่ายเลย และสิ่งสำคัญก็คือจะต้องพัฒนา ดูแลเหมือนเป็นลูกของเราเลยล่ะ เราต้องประคบประหงมและดูแลอย่างดี แต่ก็ต้องไม่สปอยล์มากเกินไป ไม่ใช่จะทุ่มเยอะเกิน ต้องมีจุดที่เรารู้สึกว่ามันพอดี ซึ่งฟางไม่เคยทำธุรกิจของตัวเองมาก่อน พอมันเริ่มใหม่ตั้งแต่แรกมันก็จะมีการทำงานที่ไม่เหมือนการทำงานในวงการ เพราะการสร้างแบรนด์ต้องทำงานกับผู้คน ทำงานเป็นองค์กร ก็มีความท้าทายแล้วก็ยาก สำคัญที่สุดคือใจ เพราะเราไม่รู้เลยว่าถ้าธุรกิจไม่ดีเราจะสู้ต่อไหม แล้วก็ต้องรับมือกับปัญหากับคนอื่นด้วย ถึงจะเป็นธุรกิจก็จริงแต่ก็ต้องเอาหัวใจไปจับกับงานบริการให้กับลูกค้าด้วย ฟางรู้สึกว่าการทำธุรกิจยากกว่างานในวงการมาก อาจจะเพราะเราทำงานในวงการมาสิบกว่าปีก็คงคุ้นชิน พอไปจับธุรกิจก็เหมือนเป็นเบบี๋เลย เริ่มใหม่

งานในวงการบันเทิงที่มีนอกจากเพลงแล้วยังมีละครเรื่องปลายจวัก ช่อง Thai PBS อีกด้วย

เรื่องปลายจวัก ฟางถือว่าเป็นละครที่ท้าทายสำหรับฟางมากเพราะว่าเป็นละครพีเรียดที่เราเล่นในหลายช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก ไปจนถึงแต่งงาน ไปจนถึงมีลูก จนถึงลูกโต คือมีทุกช่วงเวลา แล้วก็เป็นประสบการณ์ที่จริงๆ แล้วชีวิตจริงเราไม่น่าได้เจอ และเราก็ต้องใช้ความสามารถที่เรามีทั้งหมด เอาออกมาใช้ทั้งหมดเพราะเราต้องเล่นในหลายช่วงเวลา นั่นคือความยากอย่างที่หนึ่ง สองก็คือบทพูดยากมาก เป็นกึ่งๆ ราชาศัพท์บางบท กึ่งๆ เป็นภาษาโบราณ ซึ่งวิธีการพูดก็ต้องเปลี่ยน ต้องพูดช้าลง ต้องชัดถ้อยชัดคำ ส่วนเรื่องยากที่สามก็คือการทำอาหาร ซึ่งยากมากที่สุด (เน้นเสียง) ซึ่งนอกจากจะเป็นอาหารไทยโบราณแล้วยังเป็นอาหารชาววังด้วย ซึ่งเป็นอาหารที่ อย่าว่าแต่ทำเลย กินเรายังไม่เคยได้กินเลย เลยรู้สึกว่าดีใจนะที่ได้เป้นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ เพราะแทบจะเป็นเรื่องแรกๆ ของไทยเลยที่สืบสานวัฒนธรรมไทยและเน้นเกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหาร

ร้องเพลงแล้ว เล่นละครแล้ว ทำแบรนด์ของตัวเองแล้ว มีอะไรที่อยากทำในอนาคตอีกไหม

ยากจังเลยคำถามนี้ (หัวเราะ) เหมือนจะง่ายแต่ยากนะพอมาคิดว่าอยากจะทำอะไรต่อไปเหรอ ถ้าตอบแบบชิลล์ๆ ก็คืออยากจะไปเที่ยวรอบโลก อยากเดินทางเยอะๆ เพราะเราชื่นชอบการเดินทาง และเรารู้สึกว่าการที่เราได้เดินทางไปเจอผู้คนแล้วก็เจอวัฒนธรรมอื่นๆ ทำให้เราเติบโตขึ้น

ที่ไปเที่ยวมาชอบที่ไหนมากที่สุด

ชอบแทบทุกที่เลย ถ้าให้เลือก 3 อันดับแรกที่อยากจะไปอีกแบบที่ถ้าหมด COVID-19 แล้วจะไปก่อนก็มีญี่ปุ่น อังกฤษ แล้วก็อยากไปออสเตรีย เพราะว่าอยากไปกินที่ญี่ปุ่น (หัวเราะ) ไปช็อปปิ้งที่อังกฤษ ส่วนออสเตรียเคยไปมาแล้วแต่ครั้งนั้นไม่ได้ไปสถานที่ที่เขาถ่ายทำละครเวที เพราะฟางชอบมิวสิคคัลมาก ชอบเรื่อง The Sound of Music และครั้งนั้นไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเลยคิดว่าถ้าไปอีกก็อยากจะไปที่นั่น อยากจะไปร้องเพลงบนหุบเขา และถ่ายมิวสิควิดีโอของตัวเอง (หัวเราะ) ทำตัวเป็น Maria บนหุบเขา

ชอบมิวสิคคัลแล้วเคยเล่นไหม

ฟางเคยเล่น The Sound oF Music นี่แหละที่เขาเอามาทำเป็นฉบับภาษาไทย เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว เป็นมิวสิคคัลเรื่องแรกที่ได้รับบทนำอย่างเต็มตัว จริงๆ ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบดูเพราะคุณแม่พาไปดู ทั้งที่ไทยและที่ต่างประเทศ เราเหมือนเติบโตมากับการดูหนังเพลง ละครเพลง ละครเวทีด้วย

จริงๆ เป็นศาสตร์ที่ยากมาก เพราะไม่สามารถเทคได้และไม่ได้เล่นแค่ครั้งเดียว สมมติเล่น 30 รอบก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้ทุกรอบเรารู้สึกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก อันนี้คือความยาก เราต้องเข้าถึงบทบาทได้ทั้งหมด ทั้ง 30 รอบ ส่วนเรื่องร้องเพลงก็ต้องร้องยาวประมาณ 2-3 ชั่วโมง มิวสิคคัลเรื่องหนึ่งก็ต้องร้องสดตลอด ช่วงนั้นที่เล่นก็ต้องวิ่งทุกวัน วิ่งไปร้องเพลงไปเพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรงและเคยชินกับการที่เราเหนื่อย มันยากกว่าการที่เราร้องเพลงไปด้วยเต้นไปด้วย อย่างบางทีเราร้องเพลงป็อป เพลงทั่วไปก็ยังมีช่วงพักให้เราพูดคุย ทำอย่างอื่น แต่พอเป็นมิวสิคคัลก็จะไม่มีช่วงพักเลย

ถ้าไม่นับ The Sound of Music ชอบเรื่องไหนมากที่สุด

The Phantom of the Opera ค่ะ ชอบมาก 

อยากลองเล่นบ้างไหม

ยากมากเลยนะ แบบยากมาก (เน้นเสียง) หมายถึงต้นฉบับเขาทำไว้ดี แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากลองนะ เพราะเป็นเรื่องที่เราชอบมากเลย เป็นเรื่องแรกเลยมั้งที่ทำให้รู้สึกหลงใหลในมิวสิคคัลค่ะ

 

Interview : Nichkamon Boonprasert

Photography: Sereechai Puttes

Clothes: MiuMiu, TandT,  Kloset, Milin

Acessories: Gemster