ชวนคุยกับ ‘กุ๊งกิ๊ง-ปฏิมา’ สาวโคราชที่อยากบอกให้รู้ว่าหน่าฮ่านไม่ใช่เรื่องไร้สาระ

“ฉันชื่อยุพิน และนี่คือแก๊งของฉัน ถ้าวันไหนมีงานหมอลำ ก็จะเจอพวกฉันที่หน้าเวทีได้เลย” 

หน้าเวที คือสิ่งที่ชาวอีสาน – ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกอำเภอ – รู้จักกันในชื่อ “หน่าฮ่าน” พื้นที่เต้นหน้าเวทีหมอลำที่ทุกคนแข่งกันออกลวดลายเพื่อเป็นดาวเด่น เหมือนกับ “ยุพิน” ตัวละครหลักจาก “หน่าฮ่าน เดอะซีรีส์”

“หน่าฮ่าน เดอะซีรีส์” เป็นซีรีส์ที่ผลิตโดย TV Thunder เป็นการขยายความต่อมาจากภาพยนตร์เรื่อง ‘หน่าฮ่าน (2019)’ ที่เป็นผลงานการกำกับของ ‘ตั๊ก-ฉันทนา ทิพย์ประชาติ’ ทั้งสองเวอร์ชัน แต่ซีรีส์นั้นมาพร้อมกับนักแสดงชุดใหม่และเรื่องราวที่จะทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตของเด็กอีสานผ่านการเล่าเรื่องราวแบบอีสานแท้ๆ โดยมีตัวละครหลักของเรื่องอย่าง ยุพิน รับบทโดยนักแสดงน้องใหม่ ‘กุ๊งกิ๊ง-ปฏิมา ฉ่ำฟ้า’ ที่พาให้เราได้ค่อยๆ ได้เห็นการเติบโตของตัวละครต่างๆ ในแบบ Coming of age ฉบับอีสาน และจบลงอย่างสมบูรณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ หากว่าใครดูไม่ทันก็สามารถตามไปดูกันได้ที่ AIS Play

เราอาจจะคุ้นตากับ กุ๊งกิ๊ง มาบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ก็มีทั้งงานมิวสิควิดีโอ ร่วมถึงภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง ‘รักหนูมั้ย’ ที่ฉายในปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่ง “หน่าฮ่าน เดอะซีรีส์” นี้ก็ถือได้ว่าเป็นผลงานซีรีส์เรื่องแรกของเธอ ที่เรารู้สึกว่ากุ๊งกิ๊งและบทบาทของยุพินนั้นเข้ากันได้เป็นอย่างดี การแสดงของเธอที่ดูเป็นธรรมชาติทำให้เราได้หัวเราะและมีอารมณ์ร่วมไปกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ยุพินได้เจอ ในฐานะของหัวหน้าแก๊งหน่าฮ่าน ที่จะไม่ยอมแพ้ใครไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม

วันนี้ NYLON จะมาชวนกุ๊งกิ๊งคุยกันถึงเรื่องราวของเธอในฐานะสาวอีสานและบทบาทของ ยุพิน เด็กมัธยมตัวจี๊ด ที่จะพาให้เราได้ไปเรียนรู้วิถีชีวิตแบบบ้านๆ ของเหล่าวัยรุ่นอีสานที่รักเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจกัน

แล้ว “ยุพิน” ในสายตากุ๊งกิ๊งเป็นอย่างไรบ้าง

เป็นคนน่ารักนะ เป็นคนที่รักเพื่อน คอยสนับสนุนเพื่อน แต่ในความน่ารักเขาก็ยังมีความแบบ …ร้ายเมื่อเขาไปเจอคนที่เขาไม่ชอบ เขาเป็นคนรักสนุก เป็นคนรักการเต้นหน่าฮ่าน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเด็กพอกะเทินที่หมายถึงว่าเด็กกลางๆ ที่ไม่ได้เก่ง สมมติในชั้นเรียน เด็กที่นั่งอยู่ตรงกลางห้องก็ไม่ได้เรียนเก่งจนแต่ก็ไม่ได้แย่ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้โดยมากจริงๆ จะไม่ถูกพูดถึง เพราะว่าชีวิตมันเรียบง่ายเกินไป ก็เลยถ้าคนอื่นก็พูดถึงเด็กเก่งไปเลย ไม่ก็เด็กที่แย่ไปเลย นั่นคือพอกะเทิน กลางๆ ยุพินเขาเป็นหนึ่งในเด็กพอกะเทินกลุ่มนั้น ไม่ได้เกเร ถึงแม้ดูแบบว่าไม่มีอะไร แต่ที่จริงเขามีของ

ทั้งแก๊งของยุพินก็เป็นเด็กพอกะเทินกันหมดเลย

ใช่ค่ะ ก็เหมือนเรื่องนี้จะเล่าเกี่ยวกับเด็กพอกะเทินโดยตรงเลย ไม่ได้เล่าถึงกับเด็กที่เรียนเก่ง แล้วก็ไม่ได้เล่าถึงเด็กที่เกเร คือเล่าเกี่ยวกับเด็กกลุ่มกลางๆ เป็นหลัก

ความเหมือนหรือความแตกต่างกันระหว่างตัวยุพินกับตัวกุ๊งกิ๊งคืออะไร

อย่างแรกเลยคือยุพินเขาพลังเยอะ เพราะว่าเขาเป็นหัวหน้าแก๊งด้วย แล้วเขาก็รักการเต้นหน่าฮ่าน เขาต้องเต้นจนสุด แล้วก็ความเคียว [ความแรด] (หัวเราะ) เขาค่อนข้างมีความเคียวมาก แล้วก็จะเป็นคนที่ร้ายมาจะร้ายกลับ ซึ่งหนูไม่ได้ไปถึงขั้นยุพิน หนูเป็นเด็กที่หวานๆ เรียบร้อยๆ 

ไม่ได้ฝึกเต้นอะไรเพิ่มเลย (หัวเราะ) งงมากว่ามาจากไหนเหมือนกัน มันเหมือนแบบว่าพอมันได้ยินดนตรี ดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของอีสาน มันเป็นความสนุกที่แบบ นี่คืออีสาน มันก็เลยทำให้หนูสามารถเต้นไปได้เลย

เป็นเด็กหวานๆ เรียบร้อย แล้วพอต้องมาเล่นบทยุพินก็คือต้องทำการบ้านหนักไหม

ใช่ค่ะ หนักตรงที่พลังต้องถึง พี่ผู้กำกับ [ตั๊ก ฉันทนา] บอกให้หนูไปออกกำลังกายมา เพื่อพลังจะได้เยอะๆ เวลาเต้น แล้วก็ความเหมือนหนูคิดว่าน่าจะเป็นการชอบเต้นเหมือนกัน ชอบเต้นแล้วยุพินเขาเป็นคนที่รักอิสระ หนูก็รักอิสระเหมือนยุพิน

แล้วแบบนี้ต้องศึกษาอะไรจากเวอร์ชั่นหนังบ้างไหม

ไม่ได้ศึกษาค่ะ เพราะว่ามีความเหมือนกันอยู่แล้ว แต่ว่าแค่ในซีรีส์เขาจะเพิ่มตัวละครเข้ามา เพิ่มอะไรเข้ามาเพื่อให้มันดูมีสีสัน ดูมีหลายอารมณ์มากยิ่งขึ้น ถ้าถามว่าได้ดูหนังไหม ก็คือดูแหละ แต่ไม่ได้เอาความเป็นยุพินมาจากในหนัง หนูต้องเป็นยุพินในแบบที่กุ๊งกิ๊งเล่น ส่วนการดำเนินเรื่องหนูก็ว่าคล้ายๆ กันแต่แค่ว่ามีตัวละครมาเพิ่มเฉยๆ

แล้วสำหรับกุ๊งกิ๊ง “หน่าฮ่าน” คืออะไร

“หน่าฮ่าน” คือเวที คือการไปเต้นหน้าเวทีหมอลำ ไปจับจองพื้นที่ เพื่อที่จะแบบ …กูจะต้องเด่นที่สุด ต้องมีคนมองกู กูสวย กูเด่น กูเต้นเก่ง

เคยไปบ้างไหม

ไม่เคยค่ะ เคยแค่เห็นแต่ไม่ได้เข้าไปอยู่ข้างหน้า

แล้วตอนที่ดูคนอื่นเขาเต้นอยู่ข้างหน้ากัน ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง ตื่นเต้นไหม

ตอนแรกเลยที่มองก็แบบ เฮ้ย ทำไม เขาทำอะไรกัน คือตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเขาเต้นอะไรกันทำไมถึงสนุกขนาดนั้น แต่พอลอง พอได้ลองมาเล่นแล้วก็รู้สึกว่า เออ เข้าใจฟิลเขาแล้วว่าทำไมมันถึงสนุก ทำไมมันถึงมีความสุข เพราะว่าตรงนั้นมันเป็นเหมือนอิสระที่เขาจะทำอะไรก็ได้ค่ะ จริงๆ มันเป็นพื้นที่ให้แสดงความเป็นอิสระในตัวตน การเต้นมันเป็นจิตวิญญาณตัวเองนะ 

กุ๊งกิ๊งไม่เคยไปอยู่หน่าฮ่าน แต่เราจะเห็นซีนที่ขึ้นไปเต้น ปีนเสาเต้น เราไปดูมาจากไหนว่าเขาทำกันแบบนี้

เคยเห็นตามพวกโซเชียล เวลาเขาจะถ่ายแล้วโพสต์ลง แบบกลิ้งที่พื้น ปีนเสาลำโพง อะไรแบบนั้น ส่วนใหญ่จะเห็นตามโซเชียลมากกว่า ไปดู ไปศึกษาเลยว่าหน่าฮ่านคือเขาเต้นอย่างไร เขาสุดแค่ไหน แล้วก็เอาตรงนั้นมาปรับเป็นยุพิน

ปกติชอบเต้นอยู่แล้ว ต้องไปเรียนเต้นเพิ่มเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะเลยไหม

ไม่ค่ะ ไม่ได้ฝึกเต้นอะไรเพิ่มเลย (หัวเราะ) งงมากว่ามาจากไหนเหมือนกัน มันเหมือนแบบว่าพอมันได้ยินดนตรี ดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของอีสาน มันเป็นความสนุกที่แบบ นี่คืออีสาน มันก็เลยทำให้หนูสามารถเต้นไปได้เลย 

ทุกคนมีปัญหาหมดเลยในรูปแบบของตัวเอง แล้วรู้สึกว่าแต่ละคนเขาก็จะมีวิธีที่จัดการปัญหาที่แตกต่างกัน มันก็ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ควรไปตัดสินหรือว่าไปบอกเขาว่าต้องทำอย่างโน้นนะ ต้องทำอย่างนี้นะ

การทำงานกับเพื่อนๆ ในเรื่อง เป็นอย่างไรบ้าง 

สนุกค่ะ ทุกคนก็คือเป็นวัยใกล้ๆ เคียงกัน หนูก็รู้สึกว่าสนุก แล้วคือเวลาอยู่กองก็คือเหมือนตื่นมาก็เจอกัน ก็สนิทกันไว เพราะว่าต้องไปอยู่โขงเจียมหนึ่งเดือน ก็คือยกกองไปถ่ายที่นู่นเลย ก็เลยทำให้รู้สึกคุยง่าย สนิทกันไว แล้วเวลาเข้าซีนด้วยกันรู้สึกว่ามันสามารถส่งบทให้กันง่ายขึ้นเพราะว่าคุยกันทุกวัน 

การมาเล่นซีรีส์เรื่องนี้ กุ๊งกิ๊งได้เรียนรู้อะไรบ้าง

หนูรู้สึกว่าได้เรียนรู้ทั้งด้านการคิด เหมือนว่าทุกคนมีปัญหาหมดเลยในรูปแบบของตัวเอง แล้วรู้สึกว่าแต่ละคนเขาก็จะมีวิธีที่จัดการปัญหาที่แตกต่างกัน มันก็ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ควรไปตัดสินหรือว่าไปบอกเขาว่าต้องทำอย่างโน้นนะ ต้องทำอย่างนี้นะ เหมือนกับว่ามันไม่อะไรถูกอะไรผิดในด้านความคิด รู้สึกว่าเราควรเคารพการตัดสินใจของเขามากกว่า

มีเรื่องความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคนอีสานเรื่องไหนที่เราอยากบอกออกไปให้คนได้รู้ไหมว่าอันนี้มันเป็นสิ่งที่เข้าใจผิดนะ คุณควรเปลี่ยนความคิดได้แล้ว

เรื่องหน่าฮ่านเป็นที่ที่อันตราย ไม่น่าไป คนจะมองว่าไปหน่าฮ่าน ไร้สาระ แต่ที่จริง [หน่าฮ่าน] ไม่ได้ไร้สาระเลย เป็นที่ที่ปลดปล่อยในด้านความรู้สึก อยู่ตรงนี้แล้วกูมีความสุข มีตัวตน …สมมติว่าเรารักการเต้น บางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปเต้นที่ไหน ก็ต้องไปหน่าฮ่านปะ มันเป็นที่ที่ได้ปลดปล่อยตัวตนของตัวเองได้อย่างเต็มที่

แล้วการเป็นเด็กอีสานในเมืองของกุ๊งกิ๊ง กับยุพินที่เป็นอีสานที่ห่างไกลสักหน่อย เด็กอีสานในเมืองกับเด็กอีสานนอกเมือง มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างไหม

ในเมืองเขาจะเป็นฟิลประมาณต้องตั้งใจเรียน ต้องเรียนดี มีอนาคต มันเหมือนว่าเขาถูกตีกรอบว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ถ้าอีสานตามต่างอำเภอหนูคิดว่า …หนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะว่าหนูก็โตมาในเมือง

แล้วก็โอกาสด้านการใช้ชีวิต ที่ในเมืองมันมีสิ่งของที่ครบกว่า แต่ทางนั้นเขาไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างในซีนที่บอกว่าอยากมีรถไฟฟ้า เพราะว่าเวลาที่เด็กตามต่างอำเภอ เขาก็ต้องอาศัยรถอีแต๋นรถอะไร ซึ่งมันเดินทางลำบาก พอถ้าเป็นในเมืองก็รู้สึกว่ามันสะดวกสบายกว่า มีรถประจำทางต่างๆ

บทบาทอื่นๆ อะไรที่กุ๊งกิ๊งอยากลองแสดงบ้างไหม อย่างเรื่องก่อนหน้านี้ก็เป็นของไทบ้านเหมือนกัน เพราะสองสามเรื่องที่ผ่านมาเราก็เป็นสาวอีสานที่ได้เล่นเป็นสาวอีสานเหมือนกันหมดเลย

ก็อยากลองพูดบทภาษาไทย เพราะว่าเรื่องที่ 3 หนูก็อยากลองอะไรที่ได้พูดภาษาไทยดูว่ามันจะได้ไหม มันจะพอไปได้ไหมอะไรแบบนั้นค่ะ ส่วนถ้าบทประมาณไหน ก็เป็นนางร้าย ชอบ (หัวเราะ)

บางทีคนอาจจะมองว่าหน้าหวานต้องบทเรียบร้อย เลยอยากลองเป็นคนหน้าหวานที่แรง เป็นนักสู้ดูบ้าง