URBOYTJ กับประสบการณ์กว่า 13 ปี จาก Kamikaze สู่อัลบั้มเดี่ยว Selfmade

ถ้าพูดถึงแรปเปอร์ในวงการเพลงไทยก็อาจจะมีหลายชื่อที่เราจะนึกถึงได้อย่างรวดเร็ว แต่เชื่อเลยว่าชื่อของหนึ่งคนที่ขาดไปไม่ได้ก็ต้องเป็น URBOYTJ นักร้องที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาและคุ้นเพลงมาตลอดนี่ล่ะ สำหรับใครที่ติดตาม URBOYTJ มาตั้งแต่ยังเป็นสมาชิกจากค่ายวัยรุ่น Kamikaze จนถึงตอนนี้ที่เป็นศิลปินเดี่ยว ก็คงจะรู้กันดีว่าเขาทุ่มเทกับการทำเพลงแค่ไหน กว่าจะมีอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตอย่าง Selfmade ออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังกัน วันนี้เราก็ขอชวน URBOYTJ มาคุยถึงอัลบั้มนี้และเส้นทางดนตรีกว่าจะมีอัลบั้มนี้กันดีกว่า 

แนะนำตัวสั้นๆ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก TJ
: สวัสดีครับ ผมชื่อเต๋านะครับ aka URBOYTJ หรือเรียกว่า TJ ก็ได้ครับ

13 ปีที่อยู่ในแวดวงการทำงานเพลง รู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นจากเดิมอย่างไรบ้าง
: โตขึ้นในด้านของความคิดนะครับ วิธีการมองโลกต่างๆ เมื่อก่อนเวลาผมเศร้ากับอะไรมากๆ ผมจะอยู่กับมันไปนานมาก แต่พอโตขึ้นมาเราก็เริ่มรู้แล้วว่า ชีวิตมันก็ต้องมีขึ้นมีลง คือเศร้ามันก็เศร้าได้ แต่ก็ต้องหายให้เร็ว มีความสุขแล้วก็ต้องเตรียมตัวจะรับมือสิ่งต่อไปในอนาคตที่จะเกิดขึ้น

เพราะว่าเป็นอัลบั้มเต็มครั้งแรกในชีวิต มีความกังวลใจบ้างไหม แล้วทำอย่างไรถึงก้าวผ่านมันมาได้
: ความกังวลใจเหรอ ผมไม่มีความกังวลนะครับ ผมมีแค่ความเครียดมากกว่าตอนที่ทำอัลบั้ม ช่วงเวลา 1 ปีที่ทำอัลบั้มเนี่ย เป็นช่วงเวลาที่ผมใส่ทุกอย่างในชีวิตลงไปหมด ผมทิ้งทุกอย่างไปหมดเลยในชีวิต แล้วก็ทุ่มเทกับตัวเองให้อยู่ในสตูดิโออย่างเดียว เพราะว่าผมเป็นคนที่ต้องเข้าไปจัดการขั้นตอนทุกตอนของเพลงทุกเพลง มันก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นความเครียดมากกว่าที่สะสมมา 1 ปี

อะไรเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผ่อนคลายจากความเครียดตรงนั้น
: อย่างหนึ่งที่ทำให้หายเครียดคือเพลงที่เสร็จแล้ว สมมติว่าผมเครียดกับเพลงนี้มา 1 เดือน แต่พอมันเสร็จในแบบที่เราหวังไว้ มันก็จะรู้สึกว่าเราปลดล็อค Achievement บางอย่าง เราก็จะแฮปปี้ หรือว่าอาจจะเป็นช่วงพักที่เราได้ออกไปข้างนอก ได้ไปช็อปปิ้งได้ไปซื้อเสื้อผ้า ได้ออกไปซื้อแกดเจทใหม่ๆ หิ้วมาใช้ทำเพลง มันก็จะรู้สึกว่า พอมันมีอะไรใหม่ๆ ที่มันเฟรชเข้ามา มันก็จะแฮปปี้

ขั้นตอนไหนที่รู้สึกว่าเหนื่อย ขั้นตอนไหนที่รู้สึกว่าสนุกไปกับมัน
: ขั้นตอนที่สนุกที่สุดสำหรับการทำเพลงของผมนะครับ ก็คือตอนที่ร้อง ตอนที่อัดร้อง ตอนที่เครียดที่สุดคือการคิดคอนเซปต์ของเพลงๆ หนึ่งขึ้นมา เหมือนเราตั้งอะไรขึ้นมาสักอย่าง พยายามจะปั้นอะไรขึ้นมาเป็นก้อน มันยากมากเลยนะที่เราจะเห็นก้อนดินก้อนหนึ่ง แล้วเราจะปั้นขึ้นมาเป็นรูป ความยากมันอยู่ตรงนั้น ความเครียดมันอยู่ตรงนั้น แต่ว่าพอเราปั้นขึ้นมาเป็นโครงสร้างแล้วปุ๊บ วินาทีที่เราไปร้อง มันเป็นความสุขตรงที่เรารู้สึกว่ามันเป็นรูปเป็นร่าง

อัลบั้มนี้มีมากกว่าเพลง Hiphop ทำให้ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมจากปกติมากน้อยแค่ไหน
: จริงๆ แล้วส่วนมากเพลงในอัลบั้มนี้จะเป็นเพลง Pop ซึ่งส่วนตัวผมเป็นคนชอบฟังเพลง Pop อยู่แล้ว Pop เมืองนอกหรือต่างๆ มากมาย ก็เลยรู้สึกว่าความยากของมันไม่ได้อยู่ที่แนวเพลง ความยากของมันอยู่ที่การผสมผสานให้ลงตัว เอาเพลง Pop มาผสมกับ Hiphop ยังไงให้มันลงตัว ให้คนที่ฟัง Hiphop เขารู้สึกว่าฟังได้ คนที่ฟัง Pop ก็รู้สึกว่าฟังได้ หรือว่าเอาเพลง Pop มาผสมกับ R&B ยังไงให้ลงตัว ซึ่งมันเป็นหลายมุมมองในอัลบั้ม ถ้าไปฟังดูมันจะมีหลายแนวจัดๆเลย แต่ว่าเบสหลักเลยคือเพลง Pop

ประสบการณ์ 13 ปี ช่วยสอนอะไรบ้างในการทำอัลบั้มนี้
: 13 ปี น่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์อย่างที่บอกว่าถ้าฟังทั้งอัลบั้มแล้ว ฟังเนื้อหาที่ผมเขียนจะรู้ว่ามันผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะละ เริ่มมองโลกในแง่มุมสว่างขึ้น เป็นความจริงขึ้น มีสัจธรรมมากขึ้น 

เลือกคนที่จะมา Feathering จากเหตุผลอะไรบ้าง เพราะถือว่าเป็นอัลบั้มที่ถือว่ามีคนมาร้องด้วยเยอะมาก
: จริงๆ แล้วเนี่ย ผมตั้งไว้ว่า ตอนแรกสุดเลยนะว่าตอนแรกอัลบั้มผมจะไม่ Featuring ใครเลย ผมรู้สึกว่าพอเป็นอัลบั้มเดี่ยวแล้วอยากจะทำให้มันคนเดียวทั้งอัลบั้ม แต่ว่าทีนี้ด้วยสีสันของเพลงบางเพลงมันต้องมีใครสักที่มาเติมสีสันให้มันกลมกล่อมขึ้น อย่างเพลง ‘อยู่ก่อน’ ได้พี่ ‘โอ๊ต ปราโมทย์’ มา Featuring เนี่ย ด้วยความที่เรารู้สึกว่า ผมทำเวอร์ชั่นที่ผมร้องเต็มไปแล้ว แต่ผมรู้สึกว่ามันขาดอะไรสักอย่าง อยากได้เสียงร้องของคนที่ดูมีความอบอุ่น ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น ก็เลยรู้สึกนึกถึงพี่โอ๊ต ก็เลยลองให้พี่โอ๊ตมาร้องดูมันเลยกลมกล่อมขึ้น

แปลว่าเรานึกถึงสไตล์ก่อนว่าอยากได้สไตล์เหล่านี้มาอยู่ในเพลง แล้วค่อยนึกถึงตัวศิลปินคนนั้นถูกไหม
: บ้างครับ แล้วแต่ อย่างเช่น เพลง ‘Selfmade’ อ่ะครับ ผมคิดไว้เลยว่าท่อนฮุคผมอยากได้ผู้หญิงมาร้อง และเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ก็ลิสมาเลยว่าศิลปินผู้หญิงเมืองไทยที่เราอยากร่วมงานด้วยที่สุด ที่เหมาะที่สุดที่จะมาร้องเพลงนี้ มีกี่คน มีใครบ้าง ซึ่ง ‘วี วิโอเลต’ ก็ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งครับ ก็เลยติดต่อวีไป วีก็ฟังเดโม่แล้วเขาก็ชอบ เขาก็เลยตัดสินใจมาร้องครับ อย่าง ‘พี่กานต์ The Pakinson’ คือเราคุยกันมานานก่อนทำอัลบั้มแล้วว่า ผมเป็นคนที่ชอบเพลงของ The Pakinson มากๆ ถ้ามีโอกาสทำโปรเจกต์อะไรสักอย่าง อยากที่จะทำกับพี่กานต์ ก็เลยได้เพลง ‘สักวัน’ มา ส่วนอีกเพลงก็คือ ‘ซุปเปอร์ไซย่า’ ได้ ‘แชมป์ ไมยราพ’ มา คือแชมป์อ่ะเป็นคนเขียนท่อนฮุคเพลงนี้ไว้ก่อนแล้ว เป็นเดโม่ไว้นานมากแล้ว ผมมานึกขึ้นได้ในช่วงที่ทำอัลบั้มว่าเพลงมันดีมากๆ อยากเอามาทำใหม่ ซึ่งตอนนั้นแชมป์มันก็มีแค่ฮุค เราก็เลยมาคุยกัน แล้วก็ปรับเปลี่ยนทุกอย่างใหม่หมด แล้วคีพท่อนฮุคเอาไว้ก็เลยได้ แชมป์ ไมยราพ มา

ถ้าให้นิยามอัลบั้ม selfmade แบบสั้นๆ จะนิยามมันออกมายังไง
: เป็นอัลบั้มที่ฟังง่าย แล้วก็เข้าถึงง่าย แล้วก็เป็นตัวตนของผมมากที่สุด

ตอนที่รู้ว่าอัลบั้มของตัวเอง ติดเทรนด์อันดับ1 ในโลกออนไลน์ รู้สึกยังไงบ้าง
: ดีใจนะครับ ดีใจหลักๆเลย คือผมเป็นคนที่ติดตาม Back Stage เยอะมากๆ เข้าไปดูว่าวันนี้ยอดสตรีมมิ่งเท่าไหร่ ยอดวิวเท่าไหร่ ผมเป็นคนเช็คตลอดเวลา พอเห็นว่ายอดมันวิ่งขึ้นเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกว่าเป็นการชาร์จพลัง เหมือนเสียบปลั๊กชาร์จโทรศัพท์ เห็นเลขขึ้นมันก็เลยจะดีใจ

ทำไมถึงปล่อยทุกเพลงติดกัน ปกติศิลปินคนอื่นจะปล่อยทีละเพลงห่างๆกัน ทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น
: คือผมวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วนะครับว่า การทำอัลบั้ม มันคือการที่อยากให้คนทุกคนฟังตั้งแต่เพลงที่ 1 ถึงเพลง 12 เรียงกันสักครั้งหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่าเราปล่อยอัลบั้มออกไปแล้วตามสตรีมมิ่งตามอะไรต่างๆ ผมอยากให้ทุกช่องทางมันคือการเรียง 1 ถึง 12 เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมก็เลยเพิ่ม Visualizer ใน Youtube ทั้ง 12 เพลง หรือว่าสตรีมมิ่งต่างๆทั้ง 12 เพลงให้พร้อมกัน ผมไม่อยากที่จะดึงเพลงๆไหนขึ้นมาโปรโมทก่อนเพื่อดึงคนให้มาฟังทั้งอัลบั้ม ผมรู้สึกว่าทุกเพลงผมใส่ใจกับมันมาก ก็เลยอยากให้ฟังทีเดียวทั้งอัลบั้มเลย ก็เลยเป็นที่มาของการปล่อยพร้อมกันทั้งหมด

แล้วจากที่ปล่อยมาทั้งหมด 12 เพลง รู้สึกว่าเพลงไหนเห็นความเป็นตัวเองมากที่สุด
: จริงๆก็เป็นตัวผม 100% ในหลายเพลงเลยนะครับ ‘ถามคำ’ ‘กอดได้ไหม’ ‘อยู่ก่อน’ จริงๆมันเยอะมากเลย แต่ถ้าให้เลือกเพลงไหน ผมเลือกเพลง ‘หลับตา’ แล้วกัน เพราะว่าจริงๆเพลงหลับตาเป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้มแล้วนะ เพลงที่ 11 ถ้าเราไม่เพลงที่12 ซึ่งมันเป็นโบนัสแทรค หลับตามันเป็นเพลงที่ผมเขียนเพลงสุดท้ายในอัลบั้ม แล้วก็เป็นบทสรุปข้อความของอัลบั้มทั้งหมดของอัลบั้มว่า ในวินาทีนี้ตอนที่เราเขียนเพลงๆนี้อยู่ วันๆ นี้ที่เราอายุเท่านี้ เรารู้สึกยังไงกับชีวิตของเราอยู่ ก็เลยรู้สึกว่าอันนี้มันจะค่อนข้าง Personal ในการเล่าเรื่องหน่อย ซึ่งคนฟังอาจจะรู้สึกว่ามัน Personal ไปด้วยซ้ำ แต่ผมรู้สึกชอบเพลงนี้มากที่สุด

แล้วก็มีเพลงหนึ่งที่ในโซเชียลพูดถึงค่อนข้างเยอะ คือเพลง กอดได้ไหม มันมีกลิ่นอายความเป็น K-OTIC ฟังแล้วนึกถึง แล้วไปอ่านเจอว่าแต่งไว้นานแล้ว ทำไมถึงตัดสินใจเอากลับมา
: คือผมเป็นคนทำเบื้องหลังให้ค่าย ‘Kamikaze’ ค่อนข้างพอสมควร ตั้งแต่อายุ 15 ที่ได้เป็นศิลปินฝึกหัด แล้วก็ได้มาคลุกคลีกับผู้บริหาร ผู้ก่อตั้งค่าย Kamikaze ขึ้นมา เขาเห็น Potential ของเราว่า เรามี Potential ที่สามารถแต่งเพลงเขียนเพลงให้กับศิลปินคนโน้นคนนี้ได้ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มไปเขียนเพลงให้ ‘หวาย’ เริ่มไปทำบีทให้ ‘K-OTIC’ อะไรอย่างนี้ แล้วก็เลยรู้สึกว่า พอมันมาเป็นอัลบั้มเดี่ยวของเรา เราอยากจะดึงทุกคนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นตรงนั้น เพราะว่าผมรู้สึกว่าการเดินทางในหลายๆปีที่ผ่านมาในฐานะศิลปินเดี่ยว ผมค่อนข้างหลงทางอยู่เยอะมาก เพราะก่อน ‘วายร้าย’ มันหลงทางไปเยอะมากๆ บางทีก็อยากไปทำวงร็อค บางทีก็อยากไปทำนี่ ซึ่งมันแบบหลงทาง ก็เลยพอทำอัลบั้มเราตั้งใจไว้ว่าเราจะกลับไปจุดเริ่มต้นของเรา นั่นก็คือ DNA ของเรา มันถูกสร้างมาด้วย Kamikaze เพราะฉะนั้นทุกเพลงในอัลบั้มมันจะมีกลิ่นอายของ Kamikaze อยู่ แล้วก็ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่าส่วนตัวเราเป็นคนทำเพลงแบบนี้มากตั้งแต่เด็กแล้ว พอจะมาเขียนเพลงให้ตัวเอง มันก็เลยรู้สึกว่าธรรมชาติของการเขียนเพลงทำเพลงของเรามันเป็นอย่างนี้ มันก็เลยได้กลิ่นอาย Kamikaze เยอะ

อยากฝากอะไรถึงแฟนคลับ NYLON ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่อาจจะยังไม่รู้จัก TJ ในสมัย Kamikaze แล้วเริ่มมาฟังเพลงช่วงนี้ อยากจะฝากอะไรถึงเขาเหล่านั้นบ้างคะ
: ก็ถ้าฟังอัลบั้มนี้นะครับ จะรู้สึกว่า ถ้าไม่เคยฟัง Kamikaze มาก่อนนะ จะรู้สึกว่ามันเป็นเพลง Pop ที่มีเอกลักษณ์ส่วนตัวของมัน แต่ถ้าสำหรับใครที่เคยฟัง Kamikaze มา มันจะดึงความทรงจำทุกอย่างที่เราเคยได้ยินตั้งแต่เด็กกลับมา ในรูปแบบใหม่ ในการถ่ายทอดของคนๆ ใหม่ ในการถ่ายทอดของผมเอง มันสามารถฟังได้ทั้งสองรูปแบบเลย ก็คือไม่เคยฟัง Kamikaze มาก่อนก็จะได้อีกฟีลหนึ่ง คนที่เคยฟัง Kamikaze มาก่อนก็จะได้อีกฟีลหนึ่ง หรือว่าคนที่ฟังอัลบั้มผมแล้วกลับไปฟัง Kamikaze รู้สึกว่าเป็นสตอรี่ไลน์เดียวกัน แค่ช่วงไทม์ไลน์ที่มันหายไป Kamikaze หมดไป แล้วก็ที่มาเป็นศิลปินเดี่ยวมันหายไป ตอนนี้มันมีจุดเชื่อมกันแล้วก็คืออัลบั้มนี้